ตอนที่ 3 มีกันสองคน
บะหมี่ที่หน้าตาธรรมดา ทว่ารสชาติไม่ธรรมดาเลยสักนิดหลิวซานยกน้ำซุปซดลงไปจนหมดชาม เหลือเพียงไข่ต้มหนึ่งฟองที่ยังไม่ถูกกินลงท้อง เด็กน้อยหันไปมองชามน้าสาวที่ยังมีเส้นบะหมี่เกือบเต็มชามก็ขมวดคิ้วขึ้น เขาใช้ช้อนตักไข่ไก่ไปใส่ในชามของน้า พลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
"ผมอิ่มแล้วครับ เดี๋ยวผมล้างชามเอง" หลิวชิงเฟยมองไข่ไก่ที่อยู่ในชามของเธอ ในอกพลันบีบรัดก้อนขมปร่าเคลื่อนตัวมาที่ลำคอ เธอพยายามกลืนมันลงไปอย่างยากลำบาก ในยุคนี้ชาวบ้านเหล่านี้ก็มักจะปลูกผักเอาไว้กินเอง เลี้ยงไก่เพื่อกินไข่ แต่ไก่ของบ้านนี้ ทั้งผอมทั้งแก่ ออกไข่มาได้ก็แทบจะกราบแล้ว
ในชาติที่แล้วเธอเป็นนักแสดงที่มีรายได้สูงสุดของวงการ ค่าตัวเธอต่อหนึ่งงานก็สามารถอยู่ได้ไปถึงสองสามปี มีแฟนคลับหลายล้านคน ทว่าในชีวิตจริงหลังกล้องกลับเงียบเหงานัก เธอใช้ชีวิตคนเดียวในคอนโดหรูที่สร้างขึ้นบนพื้นที่ทำเลทอง ราคาย่อมแพงเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ แต่แล้วยังไงล่ะเพราะวันหนึ่งเธอก็ต้องตายอยู่ดี เธอตายเพราะความประมาทหรืออาจเรียกได้ว่า ชีวิตเธอเงียบเหงาจนเกินไป จึงได้อยากท้าทายความสามารถของตนเอง ดึงดันจะเล่นบทบู๊ที่ต้องใช้เชือกปีนลงจากชั้นสองในละครพีเรียดของจีน สุดท้ายกำลังแขนเธอก็ไม่มากพอ ตกลงมาจากตึกแค่สองชั้นที่ไม่ได้สูงอะไรมากมาย ทว่าศีรษะดันฟาดลงไปที่ขอบปูนดับอนาถคากองถ่ายละคร หลังจากที่จบชีวิตอย่างโดดเดี่ยวที่นั่นแล้ว เธอกลับมาเกิดใหม่ในยุคที่กำลังพัฒนา และยากจนข้นแค้น แต่ที่มีค่ากับเธอมากกว่านั้น ก็คือเธอมีครอบครัว ต่อให้เหลือเพียงหลานชายเพียงคนเดียวก็ตาม...
"น้าอยากลดน้ำหนักสักหน่อย เสี่ยวซานช่วยน้ากินหน่อยได้ไหมจ๊ะ" เธอมองเห็นสีหน้าที่เหมือนอยากกิน แต่ก็กลัวของหลานชายก็เกือบจะหลุดยิ้มออกมา ทว่ายังตีหน้าเคร่งขรึมพลางเอ่ยเสียงอ่อย ความจริงร่างนี้ก็ไม่ได้อ้วนนัก แต่ก็อ้วนกว่าทุกคนในหมู่บ้านอยู่ดี ในยุคนี้คนอ้วนเป็นเครื่องหมายของความสมบูรณ์ สุขภาพดี แต่เธอคิดว่าอ้วนเพราะร่างเดิมขี้เกียจมากกว่า
"ถ้าเสี่ยวซานไม่ช่วยน้ากิน บะหมี่ชามนี้ก็คงต้องทิ้งแล้ว เฮ้อ...เสียดายของจังเลย" เธอแสร้งถอนหายใจพลางทำหน้าเศร้า อีกมือก็ยกถ้วยบะหมี่ที่เหลือเกือบเต็มขึ้น หลิวซานเบิกตาทำหน้าตื่นตระหนก
"น้าครับ!!!...แม่เคยบอกว่าของกินมีค่ามากกว่าเงินทอง น้าอย่าเอาทิ้งเลยนะครับ ผมจะช่วยน้ากินเอง แต่น้ากินไปนิดเดียว เอาอย่างนี้ดีไหมครับ พวกเราแบ่งกันคนละครึ่ง"
"ได้จ้ะ ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาแบ่งกันกินเถอะ" หลิวชิงเฟยแบ่งบะหมี่ในชามของตนเองให้กับหลานชาย ไม่ลืมที่จะดันไข่ฟองนั้นลงไปด้วย
หลิวซานเห็นไข่ต้มสีขาวในชามตนเอง ก็พลันสูดลมหายใจเข้า เหมือนน้าชิงเฟยจะแปลกไปหรือเปล่านะ เขามองไข่กลม ๆ ในชามและมองหน้าน้าสาวที่ส่งยิ้มมาให้ ใบหน้าที่คล้ายกับแม่ของเขา บนโลกใบนี้เขาไม่มีแม่อีกแล้ว เด็กชายก้มหน้าลงกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมา พลางใช้ช้อนตัดไข่ออกเป็นสองซีก และตักไปใส่ในชามของคนตรงข้าม
"น้าบอกว่าเราแบ่งกันกิน เช่นนั้นไข่ใบนี้ก็แบ่งครึ่งกันเถอะครับ" หลิวชิงเฟยสูดลมหายใจเข้า พลางเอ่ยเสียงสั่นเทา
"ได้จ้ะ...แบ่งกันคนละครึ่ง ขอบใจเสี่ยวซานมากนะ ที่แบ่งให้น้ากิน" เมื่อก่อนไหนเลยเธอจะต้องมานั่งแบ่งไข่ไก่ฟองเล็ก ๆ กับใคร อย่าว่าแต่ไข่ไก่เลย แม้กระทั่งไข่ปลาคาเวียร์กิโลละหนึ่งแสนแปดหมื่นหยวนเธอก็กินทิ้งกินขว้างมาแล้ว แต่บัดนี้กลับต้องมาแย่งไข่ใบเล็ก ๆ กับหลานชาย จะไม่ให้เธอปวดใจได้อย่างไร
หลังจากกินบะหมี่หมดหลิวซานก็รีบแย่งชามไปล้างเอง หลิวชิงเฟยพาหลานชายมายังที่นอนของหลิวจิ้งเฟย งานศพของหลิวจิ้งเฟยเพิ่งเสร็จไปเพียงแค่สองวันเท่านั้น และสองวันที่ผ่านมา เธอกับหลานก็ยังไม่ได้จัดการเก็บบ้านให้เรียบร้อย ที่นอนอันเล็กที่จิ้งเฟยเคยนอน เธอก็ยกออกไปตากแดดนอกบ้าน รื้อเสื้อผ้าในตู้ออกมา แต่จะมีของดีอะไรเหลืออยู่ เสื้อผ้าทุกตัวเก่าจนซีด อันไหนยังพอใหม่อยู่เธอก็เก็บเอาไว้ ประเดี๋ยวจะเอามาแก้และตัดเป็นชุดนอนให้กับเสี่ยวซาน
"น้าครับใต้เตียงมีกล่องอะไรก็ไม่รู้" หลิวชิงเฟยคุกเข่าก้มลงไปมองใต้เตียง เธอลากกล่องใบเล็กออกมา
"เปิดไม่ได้ครับ แม่ล็อกเอาไว้" แม่กุญแจอันเล็กคล้องเอาไว้อย่างแน่นหนา แต่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับหญิงสาว เธอดึงกิ๊บที่ติดผมออกมา และปรับเปลี่ยนให้มันเป็นเส้นตรง สอดเข้าไปในรูกุญแจหมุนไม่กี่ครั้งก็ปลดล็อกออกจนได้
"ว้าว!!!...น้าชิงเฟยเก่งจังเลยครับ กิ๊บติดผมเอามาทำแบบนี้ได้ด้วย ผมอยากทำได้บ้างจัง" หลิวชิงเฟยยกคิ้วข้างเดียวพลางยิ้มกว้างออกมา หลิวซานยิ่งเบิกตากว้างขึ้นไปอีก เด็กน้อยพยายามยกคิ้วเหมือนดังน้าสาว ทว่าไม่ว่าจะทำอย่างไรคิ้วเขาก็ขึ้นทั้งสองข้าง เขาพยายามเกร็งใบหน้าหลิ่วตาลง ริมฝีปากเบ้เอียงไปข้าง แต่กระนั้นก็ยังทำไม่ได้อยู่ดี สุดท้ายจึงเอามือปิดตาข้างหนึ่งและยกคิ้วพลางมองยิ้ม
"ทำแบบนี้ก็ได้" หลิวชิงเฟยหัวเราะจนต้องยกมือมากุมท้องตนเอง เธอเอนตัวนอนไปบนเตียงพลางดิ้นไปมา ระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาจนเสี่ยวซานงง ตั้งแต่เกิดใหม่นี่นับว่าเป็นครั้งแรกเลยที่เธอหัวเราะจนลืมตัวเช่นนี้ จะว่าไปชาติก่อนเป็นดาราก็ต้องคีปลุคไม่ค่อยได้ปลดปล่อยตัวแบบนี้หรอก
"มันตลกขนาดนั้นเลยเหรอครับ ก็ผมทำไม่เป็นนี่นา" เด็กน้อยย่นปากเล็ก ๆ พลางทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ น้าตนเองห่อไหล่เล็ก ๆ ห่อตัวลง หลิวชิงเฟยยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา และเด้งตัวขึ้นมานั่ง
"ได้ ๆ น้าไม่หัวเราะแล้ว เอาอย่างนี้ถ้าเสี่ยวซานอยากทำได้ ทั้งสะเดาะกุญแจและยักคิ้วน้าก็จะสอนให้หมดเลย แต่ตอนนี้เรามาเปิดกล่องกัน ทำไมพี่สาวถึงต้องแอบซ่อนมันเอาไว้ใต้เตียงด้วย" นี่ถ้าพวกเธอไม่ยกที่นอนออกไปตาก ก็คงไม่มีวันเห็นกล่องใบนี้แน่นอน
"สัญญานะครับ" เธอมองนิ้วก้อยเล็ก ๆ ที่ยื่นออกมาตรงหน้า ครั้นหลิวซานเห็นว่าเธอชะงักไป ก็เกิดประหม่าขึ้นมา เขาเห็นว่าน้าชิงเฟยใจดีกับเขามาหลายวันแล้ว จึงลืมตัวไปว่า น้าไม่ชอบเขา เด็กน้อยหดนิ้วกลับใบหน้าหม่นลง ทว่าหญิงสาวกลับรีบยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวเอาไว้ และเขย่าเบา ๆ
"สัญญาจ้ะ...เสี่ยวซานเมื่อก่อนน้านิสัยแย่มากเลยใช่ไหม น้าขอโทษนะ ขอโทษที่เคยทำตัวไม่ดี ขอโทษที่เคยตีเรา แต่ต่อไปนี้น้าสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก ทุกอย่างน้าจะใช้เหตุผลให้มาก และที่สำคัญ...น้าจะรักเสี่ยวซานเอง รักให้มากกว่าชีวิตของน้า หลังจากนี้ไปเราสองคนมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเถอะนะ น้าจะดูแลเราให้เหมือนที่แม่ของเราเคยทำ ไม่เป็นไรนะ เสี่ยวซานยังมีน้าอยู่ทั้งคน" ครั้นได้ยินคำพูดของน้า เด็กชายก็ไม่กักเก็บความรู้สึกอีกแล้ว เขาโผเข้าหาอ้อมกอดอุ่น ๆ ร้องไห้ออกมา
"น้าครับ...ฮือ ๆ ผมคิดถึงแม่ ฮือ ๆ ผมไม่เหลือใครแล้ว น้าอย่าทิ้งผมนะครับ ผมจะเชื่อฟัง จะทำงานบ้าน อย่าทิ้งผมเลย"
"อึก...อึก...ไม่ทิ้ง ๆ ไม่ทิ้งแน่นอน บอกแล้วไงว่าเรามีกันสองคน จะทิ้งกันได้ไง น้ารักเสี่ยวซานที่สุด หลานรักของน้า"
กลายเป็นว่าสองน้าหลานกอดกันร้องไห้จนน้ำตาเปียกปอน หลิวชิงเฟยลูบแผ่นหลังเล็ก ๆ ที่สั่นจนน่าสงสาร ยิ่งเห็นอย่างนั้นเธอก็ยิ่งปวดใจ ต่อให้ไม่เคยมีลูก แต่เธอเคยได้รับบทบาทเป็นแม่ในละครมาก่อน และเธอเองก็เคยลงเรียนการเลี้ยงดูเด็กมาแล้วเช่นกัน ถึงจะรู้ว่าชีวิตจริงกับการเรียนในห้องเรียนจะเทียบกันไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะทำไม่ได้ บทบาทที่ยากกว่านี้ยังเคยเจอมาแล้ว แล้วบทชีวิตที่เป็นของพวกเธอ จะเรียนรู้ไม่ได้เชียวหรือ เธอไม่ยอมแพ้หรอก
"เอาละ ๆ ไม่ต้องร้องแล้ว มาเปิดกล่องกันดีกว่า ดูสิแม่เสี่ยวซานแอบอะไรไว้กัน ถึงได้มิดชิดขนาดนี้"