บทที่ 5
“เหี้ย! ใครวะ” เสียงสบถของภาณุที่เป็นคนขับรถดังขึ้นอย่างหัวเสีย ส่วนวันชัยที่นั่งมาด้วยนั้นเริ่มใจคอไม่ดี ตั้งแต่เห็นชายชุดดำสี่คนเปิดประตูลงมาจากรถแล้ว เพราะนั่นคือลูกน้องของเสี่ยโสภณไม่ผิดแน่
ซึ่งทั้งหมดขับรถตระเวนตามหาคนทั้งคู่มาหลายต่อหลายวัน เมื่อพบก็ไม่รีรอที่จะปรากฏตัว
“คนของเสี่ยนี่หว่าไอ้ณุ” วันชัยอุทานออกมา ใบหน้าทั้งสองซีดราวกับไก่ต้มที่เห็นคนของเสี่ยโสภณเช่นนี้
และยังไม่ทันจะได้ตั้งตัว ภาณุก็ถูกชายชุดดำกระชากลงมาจากรถอย่างแรง ก่อนจะลากตัวไปขึ้นรถคันตรงหน้า โดยมีลูกน้องของเสี่ยโสภณมาทำหน้าที้ขับรถคันของภาณุแทน ส่วนวันชัยยังคงติดอยู่ในรถซึ่งข้างๆ มีลูกน้องของเสี่ยโสภณนั่งประกบไม่ห่าง
ทั้งคู่ถูกพาตัวไปพบเสี่ยโสภณ ที่เวลานี้รอพบอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งทันทีที่มาถึงภาณุและวันชัยที่เวลานี้สะบักสะบอมไปทั้งใบหน้าและลำตัว เพราะถูกลูกน้องของเสี่ยโสภณทำร้ายมาตลอดทาง ก็แทบจะคลานเข้าไปกราบกรานขอความเมตตาจากเสี่ยโสภณ
“เสี่ยครับเสี่ย เมตตาพวกผมด้วย” เสียงของวันชัยดังขึ้นวิงวอนขอร้องให้เสี่ยโสภณเมตตา แม้จะเสียศักดิ์ศรีมากแค่ไหนแต่เพื่อต่อลมหายใจก็ต้องยอมทำ
“เมตตาสิ ถ้าไม่เมตตาป่านนี้กูเอามึงสองคนตายโหงไปนานแล้ว” คำพูดของเสี่ยโสภณทำให้วันชัยถึงกับกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ นั่นเพราะรู้ว่าคนตรงหน้าทำได้ทุกอย่าง
“พวกผมผิดไปแล้วครับเสี่ย” ภาณุที่นั่งเงียบเอ่ยขึ้นบ้าง
“สำนึกแล้วอย่างนั้นเหรอ”
“ครับเสี่ย ผมสองคนสำนึกแล้วจริงๆ” วันชัยรีบรับ ยังไงเวลานี้เขาก็ต้องเอาชีวิตให้รอดกันก่อน
“กูบอกพวกมึงตั้งแต่วันแรกที่มึงสองตัวเข้าไปในบ่อนกูแล้วนะ ว่ามีหนี้ต้องจ่าย ไม่ใช่หนีหรือไปเสี่ยงดวงที่อื่น”
“สะ...เสี่ยรู้”
“เออ...กูรู้” เสี่ยโสภณจ้องมองหน้าภาณุและวันชัยเขม็ง เพราะรู้และเห็นมาตลอดว่าหลายวันมานี้ทั้งสองคนไปหมกตัวอยู่ที่คาสิโนที่ฝั่งสปป.ลาว ซึ่งที่นั่นมีราเชนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
มันสองตัวคงถลุงเงินที่คาสิโนเป็นว่าเล่น สุดท้ายก็เป็นหนี้ติดตัวแล้วคงคิดจะหนีอีกตามเคย อันที่จริงเขาแทบไม่ต้องลงมือเองก็ได้ รออีกหน่อยคนของราเชนคงตามเก็บภาณุกับวันชัยเอง แต่ที่ต้องจับตัวสองคนนี้มาก็อยากให้กลัวและกระเสือกกระสนหาเงินมาใช้หนี้บ้าง ไม่ใช่ลอยไปลอยมาแบบนี้
“พวกผมก็แค่ถูกหลอกให้ไปที่คาสิโนนั่นเสี่ย ผมไม่รู้จริงๆ” คำพูดพล่อยๆ ของภาณุทำให้คนฟังยิ้มเหยียดออกมา
“ถูกหลอกเหรอ”
“ใช่เสี่ย” วันชัยเอ่ยเสริม เพื่อให้คำพูดของภาณุนั้นหนักแน่นขึ้น
“ใครเชื่อมึงสองตัวก็ออกลูกเป็นควายแล้ว” คำพูดของเสี่ยโสภณช่างหักหน้าภาณุจนไม่เหลือชิ้นดี แต่เพื่อมีชีวิตรอด ภาณุก็ต้องยอม
“เสี่ยครับ ให้โอกาสพวกผมอีกสักครั้งเถอะ รับรองว่าผมจะหาเงินมาคืนเสี่ยให้ได้ นะครับเสี่ย”
“กูให้เวลาแค่สามวันเท่านั้น”
“สามวันเองเหรอครับเสี่ย” วันชัยถามขึ้น เพราะระยะเวลามันเท่ากับที่คาสิโนแบบนี้ เขาจะหาเงินจากไหนมาใช้คืนได้ทัน
“เออ...สามวัน ถ้าภายในสามวันนี้ยังหาเงินมาคืนกูไม่ได้ละก็ กูจะฆ่ามึงสองตัวให้ตายชนิดหาศพไม่เจอ”
“ตะ...แต่ว่าพวกผม” ยังไม่ทันที่วันชัยจะได้เอ่ยแย้ง ภาณุที่นั่งอยู่ก็รีบขอบคุณที่เสี่ยโสภณยังให้โอกาส
“ขอบคุณมากครับเสี่ย ขอบคุณมาก”
“ไสหัวพวกมันไป” เสี่ยโสภณเอ่ยไล่ ภาณุและวันชัยจึงถูกลูกน้องของเสี่ยโยนออกมาข้างนอกราวกับหมูหมา นั่นทำให้ภาณุเจ็บใจเป็นที่สุด แต่เพราะตนอยู่ในสถานะลูกหนี้จึงจำต้องยอมเพื่อรักษาชีวิต
แต่แทนที่จะคิดหาทางออกในปัญหาที่ได้ก่อไว้ ทั้งภาณุและวันชัยกลับหันเหไปดื่มเหล้าข้ามวันข้ามคืน จนเมามายไม่ได้สติ กระทั่งวันที่สองภาณุจึงคิดอะไรดีๆ ออก
“จะไปไหนไอ้ณุ”
“กลับบ้าน”
“กลับทำไม ที่นั่นก็ไม่มีอะไรให้เอ็งเอามาขายแล้ว” วันชัยรีบแย้ง เพราะอะไรที่พอจะหยิบฉวยมาขายเป็นเงินได้ภาณุก็ทำมาเกือบหมดแล้ว ส่วนตัวเขานั้นแทบไม่ต้องพูดถึงเพราะบ้านแตกสาแหรกขาดตั้งแต่เด็กๆ อาศัยข้าววัดเลี้ยงให้เติบโต
แต่สันดานด้านมืดของมนุษย์ แม้จะถูกขัดเกลาด้วยพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก ก็ไม่อาจขัดเกลาให้สว่างขึ้นมาได้
“มีสิ ทำไมจะไม่มี” ภาณุยิ้มอย่างมีความหวัง
“งั้นกูไปด้วย” เอ่ยจบวันชัยที่ยังไม่สร่างเมาดีก็รีบแจ้นตามภาณุไปทันที ทั้งคู่ตรงไปยังบ้านของภาณุ โดยเข้าไปเพียงคนเดียว ซึ่งเวลานั้นทุกคนในบ้านกำลังกินข้าวเย็นกันพอดี
“อ้าวณุ กลับมาแล้วเหรอ มากินข้าวด้วยกันสิลูก” ชมเดือนเอ่ยทักทายด้วยเสียงอบอุ่น พร้อมกับเชื้อเชิญให้ภาณุร่วมโต๊ะกินข้าวด้วย
แต่ทว่านิลยากลับมีสีหน้าเรียบเฉย เธอไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้าพี่ชายต่างแม่เสียด้วยซ้ำ นั่นเพราะปัญหาที่ออฟฟิศของเธอก็มีให้แก้มากพอแล้ว จึงไม่อยากเอาคนอย่างภาณุมาใส่ใจอีก
“ไม่ดีกว่า พอดีฉันมีธุระจะคุยกับพ่อนิดหน่อย” ภาณุมองตรงไปยังผู้เป็นพ่อที่เวลานี้นั่งอยู่หัวโต๊ะ ได้ยินเช่นนั้นอาทิตย์จึงเอ่ยถามขึ้น
“มีอะไรก็ว่ามาสิ”
“ฉันขอคุยกับพ่อ ตามประสาพ่อกับลูก”
“คุยตรงนี้นี่แหละ พ่อไม่มีความลับอะไรกับป้าเดือนหรือหนูฝ้ายเขา” คำตอบของพ่อหักหน้าภาณุอีกครั้ง นั่นเพราะไม่คิดว่าพ่อจะเห็นคนอื่นดีกว่าลูกตัวเองเช่นนี้
“ฉันอยากได้โฉนดบ้านหลังนี้” ในเมื่อพูดกันสองคนไม่ได้ ภาณุก็ไม่คิดจะอ้อมค้อมให้เสียเวลา ประโยคที่ได้ยินทำเอานิลยาถึงกับวางช้อนแล้วหันหน้ามามองคนพูด ส่วนชมเดือนนั่นก็อึ้งไม่แพ้สามีอย่างอาทิตย์เลย
“ว่าอะไรนะณุ” อาทิตย์ถามย้ำเพราะคิดว่าตนนั้นหูฝาดไป
“ฉันอยากได้โฉนดบ้าน” ภาณุยืนกรานคำพูดเดิม
“ณุจะเอาไปทำอะไร”
“ทำอะไรก็เรื่องของฉันนะพ่อ ฉันขอก็รีบๆ ให้มาเถอะ” น้ำเสียงของภาณุตะคอกดังลั่นบ้าน เมื่อผู้เป็นพ่อยังไม่ยอมให้ในสิ่งที่ต้องการ
“พ่อคงให้ไม่ได้”
“ให้ไม่ได้ได้ยังไง ฉันเป็นลูก ฉันขอพ่อก็ต้องให้สิ หรือว่าพ่อจะยกให้คนอื่น” คนอื่นที่ว่าก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากชมเดือนกับนิลยา ที่ภาณุจ้องมองอยู่
“พ่อบอกกี่ครั้งแล้วว่าน้าเดือนกับหนูฝ้ายไม่ใช่คนอื่น ต่อให้ไม่มีสองคนนี้พ่อก็ยกโฉนดให้ณุไม่ได้” อาทิตย์ไม่อาจยกโฉนดบ้านหลังที่อาศัยอยู่ตอนนี้ให้ภาณุได้จริงๆ เพราะถ้าให้ไปแล้วก็คงไม่ได้คืนอย่างแน่นอนหากเป็นแบบนั้น เขา ชมเดือนและนิลยา จะไปอยู่กันที่ไหน
