บทที่ 4
“ก็ร้านนั้นมันไม่อร่อย แถมเอาของเก่าจนเกือบเน่าทำให้กินอีก เลยเผลอแช่งไปนิดเดียว” นิลยาออกตัว
“ไม่นิดอะ ถึงกับเจ๊งซะขนาดนั้น”
“เออนะ ก็ใช่ว่าเจ๊งทุกร้าน ร้านไหนอาหารอร่อยๆ บริการดีๆ ฉันก็สรรเสริญขอให้เขาเจริญๆ ขึ้นไปก็มี”
“ย่ะ...ฉันรู้”
“จะอิ่มแล้ว ทำไมวันนี้นักร้องยังไม่มาอีกนะ” เอ่ยจบนิลยาก็ชะเง้อชะแง้มองหานักร้องประจำร้าน ที่ปกติเวลานี้จะเริ่มร้องเพลงแล้ว
“คงมาสายมั้ง”
“ในเมื่อนักร้องยังไม่มา งั้นเราขึ้นไปร้องคั่นเวลากันเอาไหม”
“บ้า...ใครจะให้แกขึ้นยะ” พอฤทัยส่ายหน้าให้นิลยา ที่เธอรู้ว่าเพื่อนเอาจริงแน่
“ขึ้นได้ครับ”
“คะ” ทั้งนิลยาและพอฤทัยต่างเอ่ยออกมาอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะหันขวับไปมองยังที่มาของเสียง ซึ่งก็คือเจ้าของร้ายนั่นเอง
“ตะกี้พี่ได้ยินว่าน้องสองคนอยากขึ้นไปบนเวทีร้องเพลงกันใช่ไหม”
“ใช่ค่ะพี่...แต่พวกเราแค่ล้อเล่น” พอฤทัยออกตัว
“ถ้าไม่รังเกียจช่วยขึ้นไปร้องบนเวทีให้พี่หน่อยได้ไหม พอดีวันนี้นักร้องประจำร้านมาสาย แล้วพี่ไม่อยากให้ลูกค้านั่งปิ้งหมูแบบเหงาๆ ไร้เสียงเพลงนะครับ”
“ถ้าพี่กล้าขอพวกหนูก็กล้าจัดให้ค่ะ” นิลยายิ้มร่าผิดกับพอฤทัยที่ส่ายหน้าปฏิเสธรัวๆ ทันที
“แกไปคนเดียวเลยยัยฝ้าย ฉันไม่เอา”
“ไม่...แกต้องไปด้วย”
“แต่แกก็รู้ฉันร้องเพี้ยน”
“ไปเป็นคอรัสให้ฉันก็ได้อะ อย่าให้พี่เจ้าของร้านต้องเสียน้ำใจสิ...ไปลุก” นิลยาไม่ปล่อยให้พอฤทัยมีโอกาสได้ปฏิเสธ เพราะเธอเข้าไปคว้ามือของเพื่อนไว้แล้วลากตัวให้ลุกขึ้นเดินตามไปยังเวทีอย่างไม่รั้งรอ
แค่ร้องบนเวทีมันจะยากอะไร ในเมื่อเธอซ้อมกับการร้องคาราโอเกะมานักต่อนักแล้ว นิลยาไม่ได้คิดอะไรมาก เวลานี้เธอแค่อยากปลดปล่อยความไม่สบายใจไปกับเสียงเพลงก็แค่นั้น
แต่ทว่าเสียงร้องเพลงของเธอกลับสะกดเหล่าแฟนพันธุ์แท้หมูกระทะได้ ถึงขนาดหยุดปิ้งหมูเพื่อฟังเธอร้องเพลง และเสียงของเธอก็ดังแว่วไปเข้าหูของใครคนหนึ่งเข้า ซึ่งเขาคนนั้นมาทำธุระที่โรงแรม ซึ่งรั้วติดกับร้านหมูกระทะนั่นเอง
“เสียงใคร”
“มีอะไรหรือเปล่าครับเจ้านาย”
“เสียงที่ดังอยู่ตอนนี้ พวกนายไม่ได้ยินเหรอ” เอ่ยจบชายหนุ่มร่างสูงที่แต่งตัวดีด้วยชุดสูทก็ออกเดินตามหาที่มาของเสียงว่ามาจากไหน
กระทั่งมั่นใจว่าซอยแคบๆ ตรงหน้าอาจพาเขาไปหาเจ้าของเสียงเพราะๆ นี่ได้ จึงเดินลงไปอย่างไม่ลังเล โดยมีลูกน้องคนสนิทคอยตามประกบเพื่อรักษาความปลอดภัย
แต่เมื่อมาถึงร้านอาหารที่พอจะเดาได้ว่าคือร้านหมูกระทะ เสียงที่เขาตามหากลับเปลี่ยนไปเป็นอีกเสียง ซึ่งเสียงตอนนี้ช่างแสบแก้วหูเสียเหลือเกิน นั่นถึงกับทำให้เขานิ่วหน้าแล้วเอ่ยบอกลูกน้องขึ้น
“กลับเถอะ”
เพราะดวงกำลังขึ้น ทำให้ภาณุยิ่งฮึกเหิม ทั้งภาณุและวันชัยต่างใช้ชีวิตในคาสิโน ทั้งคู่กินนอนอยู่ที่นี่ราวกับเป็นบ้านหลังที่สองก็ไม่ปาน โดยใช้เงินจากการเสี่ยงดวงที่มือกำลังขึ้นไปวันๆ
และเมื่อมีได้ก็ย่อมมีเสีย เพราะหลังจากมือขึ้นติดต่อกันมาหลายวัน ภาณุก็เริ่มไม่มีดวงชนิดที่ว่าแทงอะไรก็มีแต่เสียกับเสีย แค่พริบตาเดียวยอดกำไรก็เปลี่ยนไปเป็นหนี้สิน
“กูว่าเรารีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าไอ้ณุ” เมื่อเสียพนันมากเข้า วันชัยก็เอ่ยชวนเหมือนทุกครั้ง คนทั้งคู่มักใช้วิธีหนีมาเป็นทางออกท้ายๆ
“ก็ไปดิ” ภาณุพยักหน้ารับ จากนั้นทั้งคู่ก็หาทางหลบหลีกออกมาจากคาสิโน แต่มีหรือจะรอดพ้นสายตาของภูผา ลูกน้องคนสนิทของราเชนไปได้
“คุณภาณุ คุณวันชัย จะไปไหนกันหรือครับนั่น” เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ผู้ชายตัวโตอย่างภาณุและวันชัยถึงกับสะดุ้งโหยงได้
“เอ่อ...พวกเรากำลังจะไปห้องน้ำ” ภาณุตอบอย่างตะกุกตะกัก เพราะไม่คิดว่าจะถูกจับได้ ทั้งๆ ที่ดูลาดเลาไว้เป็นอย่างดีแล้ว
“ห้องน้ำอยู่ทางนี้ครับไม่ใช่ทางนั้น”
“อ้อๆ พอดีผมสองคนเดินหลงทางนะครับ ก็อย่างว่าคาสิโนที่นี่ใหญ่โตมาก ใครๆ ก็คงเดินหลงทางกันได้” วันชัยช่วยภาณุแก้ต่างอีกคน แต่ภูผาหรือจะหลงกลคนทั้งคู่ เพราะจับตามองมาพักใหญ่แล้ว
“เหรอครับ ผมก็นึกว่าคุณสองคนกำลังจะหนีเสียอีก”
“หนีที่ไหนกัน ไม่มี” เสียงปฏิเสธของภาณุดังขึ้นทันที
“งั้นผมก็ต้องขอโทษด้วยที่เข้าใจพวกคุณผิดไป”
“เราสองคนมีศักดิ์ศรีพอครับ ไม่มีทางหนีหรอกครับ อย่างมากก็คงออกไปเอาเงินเอาทองมาใช้หนี้ที่ติดไว้” คำพูดของวันชัยที่ฟังดูสวยหรูทำให้ภูผายิ้มเหยียดออกมา คนแบบเขาพบเจอสิงพนันมานักต่อนัก แต่ละคนปากหวานและเจ้าเล่ห์ต่างกันไป
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เชิญครับ อ้อ...ผมให้เวลาคุณสองคนแค่สามวันเท่านั้น ถ้าหลังจากนี้คุณสองคนยังไม่ติดต่อมา ผมกับลูกน้องจะไปหาด้วยตัวเอง” ขณะเอ่ยก็ส่งยิ้มมาให้อีกต่างหาก แต่ทว่ากลับเป็นรอยยิ้มที่ดูเย็นยะเยือกอย่างบอกไม่ถูก
คนคุมของที่นี่ดูจะแตกต่างไปจากหลายๆ บ่อนที่ภาณุกับวันชัยเคยเข้าไปเสี่ยงดวง เพราะทุกคนดูน่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก ขนาดแค่ระดับคนคุมยังแผ่รังสีขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดถึงเจ้าของว่าจะดูน่าเกรงขามระดับไหน
“เอาไงดีวะมึง” วันชัยเอ่ยถามเพื่อนรักขึ้น ซึ่งคำตอบที่ภาณุให้ก็ตรงใจคนถาม
“หนีสิวะ”
“หนียังไง เอ็งไม่เห็นแววตาพวกนั้นเหรอ ขืนถูกจับได้เราได้ตายแบบศพไม่มีญาติแน่”
“แล้วมึงจะเอายังไง” หนีก็ตายอยู่ก็ตาย นั่นทำให้ภาณุหัวเสีย ทั้งๆ นี่ก็ไม่ใช่เหตุการณ์แรกที่เขาติดหนี้พนันก็ตาม แต่แค่ครั้งนี้คนที่เขาไปติดหนี้ไม่ใช่เจ้าของบ่อนเล็กๆ ที่หนีหน้าได้ง่ายอีกต่อไป
“กูไม่รู้ มืดแปดด้านไปหมดแล้วเนี่ย ตอนมือขึ้นๆ แทนที่จะเอาเงินไปคืนเสี่ยก่อน มึงก็ไม่เอา”
“อย่ามาโทษกูคนเดียวนะไอ้วัน มึงก็ด้วยที่ไม่ยอมไป”
“เออกูก็ผิด” วันชัยยอมรับผิด เพราะตอนมีเงินมันเหลิง
“ถ้าไม่หนี มึงหรือกูจะมีปัญญาไปหาเงินที่ไหนมาใช้คืน หนี้ที่คาสิโนตั้งเป็นล้าน ที่บ่อนเสี่ยโสภณอีก
สามแสน รวมกันก็ล้านสามเข้าไปแล้ว” สีหน้าของภาณุเต็มไปด้วยความเครียด เขาไม่คิดว่ายอดหนี้ที่คาสิโนจะมากมายถึงเพียงนี้ หรือเขาถูกโกงกันแน่
“งั้นก็ไปตั้งหลักก่อน เพราะอย่างน้อยเราก็ยังมีเวลาอีกสามวัน ถึงตอนนั้นค่อยคิดหาทางกันอีกที”
“เออ” ภาณุเอ่ยรับคำเสียงห้วน แม้จะไม่รู้ว่าทางออกที่ว่าคืออะไร จากนั้นทั้งคู่ก็กลับออกไปจากคาสิโน แต่ทันทีที่รถของภาณุขับเข้าเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ก็ถูกรถกระบะติดฟิล์มสีดำสนิทคันหนึ่งขับมาปาดหน้าในระยะประชิดเพื่อบังคับให้ภาณุจอดรถ
