เหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิต
เหยาเหยานางปรากฏตัวที่นอกจวนน้อยครั้งนัก แต่เมื่อใดที่ปรากฏตัว เรื่องความงามของนางก็ต้องถูกพูดถึง เด็กน้อยวัยเพียงไม่กี่หนาวกลับมีใบหน้าที่งดงามชวนให้คนลุ่มหลงช่างเป็นภัยร้ายเสียจริง
แต่เหยาเหยานางก็ยังไม่เคยได้รักษาผู้ใดจริงจังสักครั้ง นอกจากจัดยาให้คนในจวนเท่านั้น นางก็ไม่รู้ว่าเรื่องที่นางเก่งถูกลือออกไปได้อย่างไร
ก็เป็นบ่าวในจวนของนางที่พูดเรื่องนี้ออกไป เพราะอยากจะโอ้อวดเรื่องคุณหนูของตน
“เต้าหู้น้อยข้าป่วย เจ้าตรวจให้ข้าหน่อย” ฝูเหิงมักจะมาหานางที่จวนด้วยเรื่องนี้ทุกครั้งเมื่อเขาต้องการจะหาข้ออ้างเพื่อพบนาง
“ท่านไม่เป็นอันใดเสียหน่อย ท่านกลั่นแกล้งข้าอีกแล้วรึ” นางเอ่ยถาม เมื่อตรวจเขาครั้งที่สามในรอบหนึ่งสัปดาห์
“ข้าป่วยจริงๆ ไม่เชื่อเจ้าถาม เสี่ยวซวนก็ได้” เขาคร่ำครวญอย่างน่าสงสาร
“จริงขอรับ เมื่อเช้าคุณชายปวดหัวจนลุกอย่างที่นอนไม่ได้เลยขอรับ” นายบ่าวเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
เหยาเหยาเลยจัดยาให้ฝูเหิงอย่างดี เมื่อเห็นรอยยิ้มของนางเขาก็อดสะท้านไม่ได้ แม้รอยยิ้มจะงดงามแต่ก็น่าหวาดกลัวเช่นกัน
เหยาเหยาไม่ได้ให้ยาฝูเหิงกลับไปกินที่จวน แต่นางให้บ่าวในจวนของนางต้มมาให้เขากินต่อหน้านางแทน
“ต้องกินเลยรึ” เขามองถ้วยยาอย่างพะอืดพะอม
“หรือท่านไม่อยากหาย” เหยาเหยาเลิกคิ้วมองเขาอย่างตั้งคำถาม
“ได้ ข้าจะกิน” ฝูเหิงกัดฟันมองถ้วยยาสีดำในมือ ก่อนจะกลั้นหายใจแล้วยกดื่มครั้งเดียวจนหมด
“เพ้ย ขมยิ่งนัก” เขาสบถออกมาพร้อมร้องหาน้ำกลั้วปากทันที
“ยาดี ก็ต้องขมจริงหรือไม่เจ้าค่ะ” นางยิ้มหวานอย่างได้ใจ
"เจ้าแกล้งข้าหรือเจ้าเต้าหู้น้อย" ฝูเหิงถลึงตามองนาง
"ใครว่าเล่า ข้ากำลังรักษาท่านต่างหาก" เหยาเหยาใช้มือน้อยๆ ของนางเท้าคางมองเขาอย่างได้ใจ
ฝูเหิงเห็นดวงตากลมโตของนางที่มองมาคำต่อว่าที่เขาคิดไว้ก็ถูกกลืนลงคอไปหมด
หลังจากนั้นฝูเหิงก็ไม่กล้าป่วยให้นางได้เห็นอีกเลย เหยาเหยานางให้เขากินเพียงหวงเหลียน (เหง้าของสมุนไพร มีรสขมที่สุด มีฤทธิ์เย็น ช่วยรักษา อาการท้องเสีย แน่นท้อง ไข้สูง ฯลฯ)
เหยาเหยานางอายุได้สิบสองหนาว เหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตของนางก็เกิดขึ้น เมื่อท่านลุงของนางที่เป็นผู้ตรวจการในเมืองหลวงส่งหลักฐานการยักยอกการค้าเกลือของตระกูลไป๋ขึ้นถวายฮ่องเต้
ไป๋จิ้งเจียน บิดาของ ไป๋เยว่ มารดาของเซี่ยตงหยางและเซี่ยฝูเหิง ทำให้ความผิดครั้งนี้ของตระกูลไป๋ถูกริบทรัพย์ ตระกูลไป๋ที่มีความผิดก็ถูกประหาร บุรุษสตรีในจวนต่างถูกเนรเทศ บางถูกส่งเข้าหอนางโลม
ไป๋เยว่ เมื่อรู้ข่าวของบิดาก็ล้มป่วยจนตรอมใจ เพียงไม่กี่เดือนนางก็จบชีวิตลง
ความจริงเป็นเรื่องที่ท่านลุงของเหยาเหยาสมควรทำอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าตงหยางกับฝูเหิงจะผูกใจเจ็บกับเรื่องนี้ยิ่งนัก
เมื่อโยวลู่พาบุตรทั้งสองไปร่วมงานศพของไป๋เยว่ที่จวนตระกูลเซี่ย ผู้อาวุโสต่างก็ไม่ได้ผิดใจกัน แต่ไม่ใช่กับฝูเหิงที่โกรธแค้นญาติฝั่งมารดาของเหยาเหยาจนกลายเป็นเรื่องเป็นราว
“เจ้ายังกล้ามาเหยียบที่จวนของข้าอีกหรือ” เขาเอ่ยต่อว่านางเมื่อนางเดินเข้ามาเคารพศพของไป๋เยว่
ยังดีที่บิดากับพี่ชายของนางเข้าไปเคารพก่อนหน้านี้แล้ว ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะกระอักกระอ่วนใจมากเพียงใด
“อาเหิงอย่าเสียมารยาท” ตงหยางเอ่ยดุน้องชายเสียงเข้ม แต่สายตาของเขาที่มองมาทางเหยาเหยาก็ว่างเปล่าไม่เหมือนเดิม
เหยาเหยานางสงบนิ่งไม่ตอบโต้ เพราะรู้ว่าฝูเหิงกำลังเสียใจกับการจากไปของมารดา นางทำพิธีจนเสร็จก็เดินออกมาจากห้องโถง
แต่ฝูเหิงไม่ยอมปล่อยให้นางจากไปง่ายๆ ยิ่งเห็นใบหน้าเรียบเฉยของนางโทสะใส่ใจก็พุ่งสูงขึ้นเกินจะควบคุมได้
“ปล่อย ข้าเจ็บ” ฝูเหิงดึงลากเหยาเหยาไปที่ด้านหลังของเรือน
รอยนิ้วมือของเขาปรากฏที่ข้อมือขาวนวลของนางอย่างน่าสงสาร
“หึ ถูกทำเพียงแค่นี้ก็เจ็บแล้วหรือ แต่สิ่งที่ตระกูลมู่ของท่านตาเจ้าทำไว้กับท่านตาของข้า เพียงเท่านี้นับเป็นอะไร”
“แล้วข้าเกี่ยวอันใดกับเรื่องนี้” นางเอ่ยถามอย่างสงสัย
เขาจะมาพาลนางได้อย่างไร ตระกูลหวังของนางไม่ได้ทำสิ่งใดให้เขาเจ็บช้ำสักอย่าง
“เจ้าจะไม่เกี่ยวได้อย่างไร เจ้าเป็นหลานสาวของตระกูลมู่”
“ฝูเหิงข้าว่าท่านพาลเสียแล้ว หากมีเรื่องที่จะพูดเพียงเท่านี้ข้าขอตัว” เหยาเหยานางเอ่ยอย่างใจเย็น ก่อนจะเดินกลับไปหาบิดา
“ข้าจะทำให้ตระกูลมู่กับตระกูลหวังของเจ้าต้องเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น” ฝูเหิงเอ่ยเสียงเหยียบเย็นออกมา แววตาที่เขามองมาทางเหยาเหยาเจ็บปวดจนนางอดจะเห็นใจไม่ได้
“แล้วแต่ท่านเถิด ข้าคงไปห้ามความคิดท่านไม่ได้” เพราะนางรู้ดีว่าเขาดื้อรั้นมากเพียงใด
หากยังเอ่ยห้ามหรือโต้แย้งแทนท่านลุงของนาง ไม่รู้ว่าเขาจะระเบิดอารมณ์ใส่นางมากเพียงใด
