ลี้ภัยไปเมืองอื่น
ฝูเหิงที่กำลังเข้าร่วมวางแผนการรบก็แทบนั่งไม่ติด เพราะกลัวเจินเหยานางจะตื่นแล้วกลับออกไปโดยไม่ลาเขา
“อาเหิง เจ้ามีความคิดเห็นเช่นไร” ตงหยางเอ่ยถามน้องชาย
“ข้าก็คิดเช่นเดียวกับท่าน” ฝูเหิงแทบจะไม่ได้ฟังแผนการรบที่พวกเขาได้หารือกันเลย
“ข้ายังไม่ได้พูดอันใด” ตงหยางปรายตามองน้องชายที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
"เช่นนั้นก็ทำตามที่ท่านกุนซือว่าก็แล้วกัน” ตงหยางรีบพูดตัดบท เพราะเขาก็ต้องไปดูคนที่อยู่ด้านในกระโจมเช่นกัน
ฝูเหิงกลับมาถึงกระโจมก็เห็นเจินเหยานางเพิ่งจะวางตะเกียบลง
“อิ่มแล้วหรือ” เขาเดินเข้าไปดูอาหารที่นางกินก็พบว่าแทบจะไม่พร่องลงไปเลยสักนิด
“เหตุใดถึงกินน้อยเช่นนี้” เขาจับตะเกียบขึ้นมาคีบแล้วยื่นไปที่ปากของนาง เหมือนที่เขาชอบทำตอนที่เขาซื้อขนมมาฝากนาง
“ข้ากินไม่ลง ท่านพ่อท่านแม่ข้าไม่รู้เป็นเช่นไร” เจินเหยานึกถึงอาหารที่ค่ายผู้อพยพ เมื่อเห็นอาหารมากมายตรงหน้านางก็กินไม่ลงเสียแล้ว
“ข้าจะให้เสี่ยวถงไปรับท่านอาจารย์กับอาจารย์หญิงมาพักในค่าย ด้านหลังมีที่พักสำหรับขุนนางอยู่” เขาเอ่ยเพื่อให้นางหายกังวลใจ
เจินเหยาเงยหน้าขึ้นมองเขา ถึงว่านางไม่เห็นขุนนางที่อพยพมาพร้อมกันร่วมถึงคหบดีคนอื่น มีเพียงชาวบ้านเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้อพยพกับตระกูลของนาง
"ไม่ต้อง ข้าจะพาท่านพ่อท่านแม่ลี้ภัยไปเมืองอื่น” นางเอ่ยขึ้นมาอย่างมีโทสะ
เพียงแค่นางเดินเข้ามาในเขตนอกเมืองเขาก็คงรู้เรื่องนี้แล้ว ถึงได้จัดให้ครอบครัวของนางไปอยู่ที่บ้านดิน
“เพราะอันใด” ฝูเหิงเอ่ยถามอย่างสงสัย เขาอุตส่าห์หวังดีให้ครอบครัวนางเข้ามาพักในค่าย แต่นางกับบอกจะลี้ภัยไปที่เมืองอื่น
“ไม่รบกวนท่านรองแม่ทัพเจ้าค่ะ ข้าขอตัว” เจินเหยาปรายตามองเขาอย่างเย็นชา
“ดี เช่นนั้นก็พาตระกูลของเจ้าไปตายดาบหน้าเสีย” ฝูเหิงตวาดออกมาเสียงดัง
เจินเหยาลุกขึ้นแล้วเดินออกมาทันที นางถามทหารถึงที่อยู่ของพี่ชายก่อนจะเดินไปที่กระโจมของตงหยาง
เสียงทำลายข้าวของภายในกระโจมดังออกมาด้านนอก เจินเหยานางชะงักฝ่าเท้า แล้วเดินไปต่อโดยไม่หันกลับมามอง
“ข้ามาพบพี่ชายของข้า ช่วยเรียกเขาออกมาให้ข้าด้วย” นางบอกทหารที่อยู่หน้ากระโจม
เพราะเจินเหยานางไม่ได้ปิดบังใบหน้า ทหารที่พบเห็นนางได้แต่อ้าปากค้าง จ้องมองอย่างลืมตัว
เจินเหยายืนรอจนนางเริ่มจะทนไม่ไหว เพราะแผลที่เท้าก็ยังไม่ทุเลา เมื่อจะร้องขอให้ทหารหน้ากระโจมไปเรียกให้นางอีกครั้ง ตงหยางก็เดินออกมา
“อาเหยา เจ้ามีเรื่องอันใด”
“ข้ามาตามท่านพี่กลับเจ้าค่ะ”
ตงหยางมองนางอย่างแปลกใจ เหตุใดฝูเหิงถึงปล่อยตัวนางออกมาได้ง่ายเช่นนี้
“เอ่อ” ตงหยางกำลังจะบอกว่าหนิงเฉิงยังไม่กลับไปที่ค่ายผู้อพยพ แต่เขาก็เดินออกมาเสียก่อน
“ท่านพี่กลับกันเถิดเจ้าค่ะ” นางมองสำรวจพี่ชายที่เดินท่าทางแปลกๆ ออกมาจากกระโจม ก่อนจะหันไปก้มหัวให้ตงหยาง แล้วเดินออกจากค่ายทหารไปพร้อมกัน
“เหตุใดสภาพท่านถึงเป็นเช่นนี้” นางเอ่ยถาม เมื่อออกห่างจากกระโจมตงหยางมาแล้ว
“เอ่อ เอ่อ” เขาจะพูดเช่นไรกับนางสาวดี หนิงเฉิงพูดไม่ออก
“ท่านไม่ต้องพูดแล้ว ข้ารู้แล้วว่าท่านเป็นอันใด”
“เหยาเหยา” หนิงเฉิงเบิกตากว้างอย่างตกใจ เมื่อรู้น้องสาวรู้ว่าเขาโดนอันใดมา
“เดินช้าลงเสียหน่อย เท้าข้าเจ็บยิ่งนัก” นางบอกพี่ชาย เพราะนางก็ไม่อยากให้พี่ชายถูกผู้อื่นจับได้เช่นกัน
“ท่านกับพี่หยาง ตั้งแต่เมื่อใดเจ้าคะ” เจินเหยาเอ่ยถามพี่ชายเสียงเบา
หนิงเฉิงที่ประคองน้องสาวอยู่ก็ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย
“ข้ากับเขามีใจให้กันตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน ตั้งแต่เกิดเรื่องกับท่านแม่ของตงหยางก็ไม่ได้พูดคุยกันอีกเลย” หนิงเฉิงถอนหายใจ
เขาไม่คิดว่าการเจอกันครั้งนี้ ตงหยางจะลงโทษเขาเช่นนี้
“ข้าจะบอกท่านพ่อให้เดินทางออกจากเมืองหานเป่ย ลี้ภัยไปที่เมืองอื่น ท่านคิดเห็นเช่นใด” เจินเหยานางอยากถามความคิดของพี่ชายเสียก่อน เพราะกลัวว่าเขาอาลัยอาวรณ์ตงหยางจนไม่คิดจะจากไป
“ข้า ข้า” เจินเหยาถอนหายใจ
นางเอ่ยเล่าเรื่องที่รู้ว่าขุนนางและคหบดีคนอื่นนอกจากตระกูลหวังของนางล้วนถูกจัดให้อยู่ภายในค่ายที่พักอย่างดี
“เป็นเรื่องจริงหรือ” หนิงเฉิงกัดปากแน่น เพราะเขาไม่อยากเชื่อว่าจะถูกสองพี่น้องทำเช่นนี้
ยิ่งขึ้นถึงข้าวต้มที่มีแต่น้ำที่บิดามารดาได้กินรองท้อง หนิงเฉิงก็ปวดใจอย่างยิ่ง นึกไม่ถึงคำหวานข้างหูที่เขากระซิบบอกแท้จริงแล้วโหดร้ายเช่นนี้
“เช่นนั้นก็ลี้ภัยไปเมืองอื่นเถิด” สายตาของหนิงเฉิงเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่นไม่เหลือความอาลัยอาวรณ์อีกเลย
