พาไปอยู่ในค่าย
เมื่อกลับถึงที่พักในค่ายผู้อพยพ สองพี่น้องบอกเรื่องที่เจินเหยานางไม่ช่วยท่านหมอดูแลคนเจ็บในค่ายทหาร เพื่อไม่ให้บิดามารดาเป็นกังวล ที่ทั้งสองหายไปทั้งคืน
ตงหยางเมื่อสองพี่น้องกลับออกจากค่ายไปแล้ว เขาจึงเดินไปหาน้องชาย เพื่อถามว่าเหตุใดถึงปล่อยตัวคนออกไปได้
“เป็นบ้าเรื่องอันใดอีก” เมื่อเข้ามาในกระโจมก็เห็นสภาพที่เละไม่มีชิ้นดีโดยฝีมือของน้องชาย ตงหยางเอ่ยตวาดถามออกมาเสียงดัง
เมื่อตงหยางได้ฟังเรื่องราวจากปากของน้องชายก็ได้แต่กุมขมับ เรื่องนี้เขาไม่ได้เป็นผู้สั่งให้พาตระกูลหวังไปอยู่ค่ายผู้อพยพ
ทั้งยังไม่รู้มาก่อนด้วยว่าตระกูลหวังออกจากเมืองหลวงมาอยู่ที่เมืองหานเป่ย
“เหตุใด เจ้าไม่บอกอาเหยาเรื่องที่เจ้าไม่ได้เป็นผู้สั่ง” เขาเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์
“นางอยากจะเข้าใจเช่นใดก็เรื่องของนาง”
“ดี เช่นนั้นก็เก็บกวาดข้าวของเสีย ในเมื่อเจ้าปล่อยให้นางไป ก็อย่าได้คิดที่จะตามนางกลับมา” ตงหยางมองน้องชายอย่างดุดัน นางไม่ได้ไปเพียงผู้เดียวยังพาคนของเขาไปด้วยจะไม่ให้โมโหน้องชายหน้าโง่ได้อย่างไร
ตงหยางเดินออกจากกระโจมของฝูเหิงไปอย่างหัวเสีย ก่อนจะเรียกทหารของตนมาสั่งการให้ไปจัดการเรื่องบางอย่าง
เจินเหยานางยังไม่ได้บอกเรื่องที่ต้องการจะลี้ภัยไปเมืองอื่นให้บิดารู้เรื่อง เพราะต้องรอให้เท้าของนางกับร่างกายของหนิงเฉิงดีขึ้นเสียก่อน
เมื่อพูดคุยกับบิดามารดาและเห็นว่าท่านทั้งสองไม่ได้เป็นอันใด เจินเหยานางก็กลับไปนอนพักที่บ้านดินของนาง
เสี่ยวผิงเห็นเท้าที่บวมแดงเต็มไปด้วยรอยแผลของคุณหนูตนก็ร่ำไห้ออกมา ก่อนจะออกไปหาน้ำร้อนเพื่อมาประคบให้นาง
เจินเหยารู้สึกตัวตื่นขึ้นก็เมื่อแม่นมร้องเรียกให้นางเตรียมตัวย้ายไปอยู่ที่อื่น
“ไปที่ใดเจ้าคะ” นางเอ่ยถามเมื่อเดินออกมาพบบิดาที่อยู่ด้านนอก
“ทหารพวกนี้จะพาเราเข้าไปอยู่ที่ค่ายด้านใน” เจินเหยาขมวดคิ้วแน่นเมื่อฟังคำพูดของบิดา
“ออกเดินทางเถิดขอรับ” ทหารเอ่ยเร่ง เพื่อไม่ให้เจินเหยานางมีเวลาคิด
หากไม่ได้ตัวคนกลับไปตามคำสั่งของท่านแม่ทัพไม่รู้ว่าเขาจะถูกลงโทษเช่นไร
หนิงเฉิงเมื่อได้นอนพักก็ดีขึ้นมาก เขาย่อตัวลงเพื่อให้เจินเหยาขึ้นมาอยู่บนหลัง
“เหตุใด เจ้าต้องแบกเหยาเหยา” มู่เยี่ยนเอ่ยถามบุตรชายอย่างสงสัย
“เหยาเหยาบาดเจ็บที่เท้าขอรับ”
“เหยาเหยา เจ้าเป็นอันใดมากหรือไม่ลูก” มู่เยี่ยนรีบเดินเข้ามาดูบุตรี เพราะนางล้มป่วยจึงลืมสนใจบุตรสาว
“ไม่เจ้าค่ะท่านแม่” เจินเหยาส่งยิ้มให้มารดาเพื่อให้นางวางใจ
“ผ้าปิดหน้าเจ้าเล่า” โยวลู่เอ่ยถาม เมื่อชาวบ้านและทหารเริ่มหันมามองใบหน้าของเจินเหยาอย่างไม่วางตา
“ข้าทำหล่นหายเจ้าค่ะ” นางจะบอกได้อย่างไรว่าถูกฝูเหิงยึดไปเสียแล้ว
ทั้งหมดเข้ามาอยู่ค่ายพักด้านในของค่ายทหาร เจินเหยาจึงได้รู้ว่าผู้อพยพที่อยู่ด้านนอกกับด้านในช่างมีความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันมากนัก
ด้านในค่ายเจ้านายตระกูลหวังล้วนมีกระโจมส่วนตัวของตนเอง ข้าวของที่อยู่ด้านในก็ล้วนแต่สะดวกสบาย
บ่าวสิบกว่าชีวิต ต่างก็มีกระโจมอยู่ถึงจะต้องอยู่ร่วมกัน แต่ก็ไม่ได้แออัดเช่นที่ต้องอยู่ในบ้านดิน
บ่าวสิบกว่าชีวิต ต่างก็มีกระโจมอยู่ถึงจะต้องอยู่ร่วมกัน แต่ก็ไม่ได้แออัดเช่นที่ต้องอยู่ในบ้านดิน
มู่เยี่ยนกับโยวลู่เข้ามาดูเจินเหยาที่กระโจมของนาง เมื่อเห็นเท้าที่เต็มไปด้วยแผล ทั้งคู่ก็แทบอยากจะร้องไห้ออกมา
“ข้าพักไม่กี่วันก็หายเจ้าค่ะ ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านอย่าได้กังวล” นางชูตลับยาที่ขอมาจากท่านหมอกัวให้บิดามารดาได้ดู
ทั้งคู่ออกจากกระโจมเจินเหยาเพื่อให้นางได้พักผ่อน
ตลอดเวลาที่อยู่ในค่ายเจินเหยานางไม่ได้ลงจากเตียงเลย เพราะเสี่ยวผิงกลัวว่าหากนางลงเดินแผลที่เท้าจะไม่หายเสียที
เสียงกองทัพของทั้งสองแคว้นรบกันอยู่เนืองๆ เหมือนจะเป็นการลองเชิงกันเสียมากกว่า
ฝูเหิงอารมณ์ของเขาในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก ตั้งแต่วันที่เจินเหยานางออกจากค่ายไปเขาก็ไม่รู้ข่าวของนางอีกเลย เมื่อให้เสี่ยวถงไปตรวจดูก็พบว่าตระกูลหวังไม่อยู่ที่นั่นเสียแล้ว
“แล้วรู้หรือไม่ว่าไปที่ใด” เขาจ้องมองเสี่ยวถงเหมือนอยากจะแยกร่างของเขาทิ้ง หากคำตอบที่ออกไปไม่ตรงอย่างที่ใจคิด
“ไม่มีผู้ใดทราบขอรับ” ฝูเหิงยกเท้าขึ้นถีบเสี่ยวถงจนล้มกลิ้งไปกลับพื้น
“แต่ แต่ มีทหารมาพาตัวพวกเขาไปขอรับ”
“ก็พูดให้มันเร็วๆ จะได้ไม่เจ็บตัว” เขาตวาดออกมาเสียงดัง
แต่ก็ไม่มีเวลาให้ฝูเหิงได้ตรวจสอบว่าทหารที่มาพาตัวคนตระกูลหวังไปเป็นคนของผู้ใด เขาจำต้องออกไปจัดการทหารแคว้นเว่ยที่ออกมาท้ารบอยู่ที่นอกค่าย
ใบหน้าที่ถมึงทึงของฝูเหิงช่างต่างจากพี่ชายที่ถึงแม้ภายนอกจะดูเรียบเฉยเช่นปกติ แต่แววตาของเขาก็เปล่งประกายราวกับพบเจอเรื่องยินดีมา
