ช่วยชีวิตฮูหยินผู้เฒ่าฝาน
เพียงคำยั่วยุของทหารแคว้นเว่ยไม่กี่คำ ก็ทำให้โทสะของฝูเหิงแทบจะระเบิดออกมา เขาดึงกระบี่ออกมาเตรียมพร้อมจะพุ่งเข้าไปฆ่าให้ไม่เหลือ แต่ก็ถูกพี่ชายเอ่ยห้ามไว้เสียก่อน
“อย่าได้ใจร้อน”
วันนี้ก็เป็นเช่นหลายวันที่ผ่านมา ทั้งสองกองทัพเพียงตะโกนยั่วยุกันไปมาเท่านั้นไม่ได้ทำศึกอันใด
เจินเหยาเมื่อหายจากอาการบาดเจ็บที่ฝ่าเท้าแล้วนางก็ได้ออกมาเดินเล่นด้านนอกเสียที
“ตามหมอเร็วเข้า” เสียงตะโกนดังมาจากกระโจมที่อยู่ไม่ไกลนัก
เจินเหยามองตามไปอย่างสนใจ นางจึงเดินไปดูกับเสี่ยวผิงเผื่อมีเรื่องใดที่นางพอจะช่วยได้บ้าง
เพราะท่านหมอกัว และหมอท่านอื่นต่างก็มีงานจนล้นมือมากพออยู่แล้ว
“เกิดอันใดขึ้นเจ้าค่ะ” เสี่ยวผิงเดินเข้าไปถาม เมื่อเห็นสีหน้าของเจินเหยานางก็รู้ได้ทันทีว่าคุณหนูนางต้องการสิ่งใด
“ฮูหยินผู้เฒ่าฝานเป็นอันใดไม่รู้ กินอาหารอยู่นางก็ล้มลงไปเสีย” คนที่เดินมาดูเอ่ยตอบเสี่ยวผิง
เจินเหยานางคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าฝานน่าจะอาหารติดคอ หากไม่ช่วยในตอนนี้ไม่แน่ชีวิตของนางก็อาจจะช่วยไว้ไม่ได้แล้ว
“ข้าพอจะรู้วิธีรักษาเจ้าค่ะ” นางเอ่ยตอบบุตรหลานที่รออยู่ด้านนอกอย่างกระวนกระวาย
บุรุษผู้หนึ่งเมื่อหายอาการตกตะลึงกับใบหน้าของเจินเหยาแล้วก็เดินเข้ามาหานางอย่างร้อนใจ
“เชิญแม่นางทางนี้” เขาเดินนำทางเจินเหยาเข้าไปด้านใน
เมื่อสอบถามจากสาวใช้จึงรู้ว่าสิ่งที่เจินเหยานางคิดไว้นั้นไม่ผิด
เพราะตัวของฮูหยินผู้เฒ่าฝานไม่ได้ใหญ่นัก เจินเหยานางจึงเดินไปซ้อนอยู่ด้านหลัง โดยให้สาวใช้ของฮูหยินผู้เฒ่าฝานช่วยนางตามที่นางบอก
เจินเหยากำมือแน่น แล้ววางไว้ที่บริเวณเหนือสะดือขึ้นมา มืออีกข้างก็กุมทับไว้ด้านบน ก่อนจะออกแรงกระทุ้ง งัดขึ้น เพื่อให้เศษอาหารที่อยู่ด้านในหลุดออกมา
คนที่เห็นนางทำเช่นนั้นต่างก็ตกใจจนกรีดร้องออกมา ทั้งยังต่อว่านางที่จะทำให้อาการของฮูหยินผู้เฒ่าฝานแย่ยิ่งกว่าเดิม
แต่เจินเหยานางก็ไม่ได้หยุดมือ เพียงกระทุ้งไปห้าครั้ง อาหารที่ติดอยู่ในหลอดลมก็หลุดออกมา
ฮูหยินผู้เฒ่าฝานสูดหายใจเข้าอย่างแรง นางแทบไม่อยากเชื่อว่าตัวนางจะมีชีวิตรอดได้แล้ว
“ครั้งหน้าท่านเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืนนะเจ้าคะ หากเกิดอาการเช่นนี้อีก ก็ทำตามที่ข้าทำ” ประโยคหลังนางหันไปพูดกับสาวใช้ที่ช่วยประคองฮูหยินผู้เฒ่าฝานอยู่
“ประเดี๋ยวก่อนแม่นางน้อย เจ้ามีนามว่าอันใด” ฮูหยินผู้เฒ่าฝานเอ่ยถามนาง
“ข้าแซ่หวัง นามเจินเหยาเจ้าค่ะ” นางก้มหัวให้เขาเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่าฝานถอดกำไลหยกสีเลือดนกในมือของนาง ออกมาสวมให้เจินเหยา
“ข้าเคยคิดจะเก็บไว้ให้หลานสะใภ้ แต่วันนี้เมื่อเกิดสงครามของมีค่าติดตัวมาก็เหลือไม่มากนัก เจ้าเป็นผู้มีพระคุณของข้า รับไว้เถิด” เมื่อเห็นว่าเจินเหยานางไม่อยากได้ ฮูหยินผู้เฒ่าฝานก็ตบไปที่หลังมือของนางเบาๆ
ฝานเฉียนที่ยื่นมองเหตุการณ์อยู่ก็หน้าแดงอย่างเขินอาย เมื่อท่านย่าของเขาพูดเรื่องหลานสะใภ้ขึ้นมา
“หากมีเรื่องเจ็บป่วย ไปตามข้าได้เจ้าค่ะ กระโจมตระกูลหวังอยู่ไม่ใกล้จากที่นี่” นางเอ่ยบอกก่อนจะเดินออกจากกระโจมไป
“ไม่รู้ว่าถูกเลี้ยงดูมาเช่นไร นอกจากความงามที่เป็นที่อิจฉาแล้วนางยังเฉลียวฉลาดมากเพียงนี้” ฮูหยินผู้เฒ่าฝานมองตามเจินเหยาไปแล้วเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
“ตระกูลใดได้ไปเป็นสะใภ้ นับว่าวาสนาดีนัก” มารดาของฝานเสียนเอ่ยสำทับขึ้นมา
เรื่องบุตรสาวของอดีตราชครูช่วยชีวิตฮูหยินผู้เฒ่าฝานไว้ก็ถูกพูดต่อในค่ายผู้อพยพของขุนนาง
บางคนที่ได้เห็นใบหน้าของนางใกล้ๆ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่างดงามสมคำร่ำลือ
หมอกัวที่รู้เรื่องยังมาหานางที่กระโจมตระกูลหวังเพื่อพูดคุยวิธีการรักษาของนาง เจินเหยานางก็ไม่ได้หวงความรู้ที่มีมา
“เหยาเหยานางเป็นศิษย์ของท่านหมอจาง” โยวลู่เอ่ยบอกหมอกัว พร้อมมองบุตรสาวอย่างภูมิใจ
เรื่องที่นางไปช่วยฮูหยินผู้เฒ่าฝาน เมื่อมีคนรู้เรื่องต่างก็มาสอบถามเขาที่กระโจมอย่างมากมาย
“เช่นนั้นเองรึ” เขามองนางอย่างชื่นชม
“เอ่อ หากข้าให้นางไปช่วยที่กระโจมรักษาจะได้หรือไม่” หมอกัวเอ่ยถามโยวลู่อย่างเกรงใจ
เพราะรู้ว่าตามธรรมเนียมสตรีไม่อาจใกล้ชิดบุรุษได้ แต่เพราะความสามารถของนาง อาจจะช่วยเหลือชีวิตของทหารที่ได้รับบาดเจ็บไว้ได้มาก
“เรื่องนี้” โยวลู่ครุ่นคิดอย่างหนัก
เพราะด้วยใบหน้าของบุตรสาวที่เป็นเหมือนภัยร้าย เขากลัวว่าหากพบบุรุษที่คิดไม่ได้กับนางจะเกิดอันตรายได้
“ข้ารับรองว่าจะไม่มีผู้ใด เข้าใกล้นาง ตอนที่ทำการรักษาแน่นอน” เขารีบร้องบอกโยวลู่
“ท่านพ่อ ให้ท่านพี่ไปอยู่ช่วยข้าอีกแรงก็ได้เจ้าค่ะ”
ในเมื่อนางมีความรู้เรื่องรักษาก็อยากจะช่วยชีวิตผู้อื่น แต่ติดที่ยุคนี้ช่างยากสำหรับนางนัก
“เช่นนั้นก็ได้ แต่ท่านหมอกัว ท่านต้องรับปากอย่าให้บุตรีของข้าเสียหายได้เล่า” เขาเอ่ยเสียงเย็นเพื่อเป็นการเตือน
“แน่นอน แน่นอน เรื่องนี้ท่านเชื่อใจข้าได้”
โยวลู่ไม่เคยเชื่อใจผู้ใด บุตรสาวของเขาบุรุษใดได้พบก็แทบจะเข้าตะครุบนางเสียแล้ว
