วางแผนดึงศัตรูมาเป็นพวก
หย่งชวี่อิงนั่งมองบ่าวรับใช้ขนข้าวของส่วนตัวของนางเข้ามาที่เรือนใหญ่เกือบสองชั่วยาม ก่อนที่สาวใช้คนสนิทจะได้มาบอกกล่าวว่าขนย้ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ข้าให้คนขนของ ๆ ท่านมาเกือบหมดแล้วเจ้าค่ะ ขอฮูหยินตรวจดูว่ายังมีอะไรขาดเหลือหรือไม่”
“ไม่จำเป็นหรอก ข้าไว้ใจเจ้า” นางย้ำคำว่าไว้ใจด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกว่าปกติ ทำเอาซูปี้ไม่กล้าสบตานายหญิงของตัวเองเพราะยังมีความละอายใจอยู่บ้าง
“ว่าแต่ฮูหยินจะอยู่ที่นานไหมเจ้าคะ”
“เจ้าถามทำไมงั้นหรือ” นางหรี่ตามอง แล้วจึงถามออกไป
“ข้าจะได้จัดเตรียมทุกอย่างให้อย่างไรล่ะเจ้าคะ อีกอย่างท่านอยู่ที่นี่คนเดียว ข้ารู้สึกไม่ค่อยวางใจนัก”
“ใครบอกกันว่าข้าอยู่นี่คนเดียว เจ้าเองก็ย้ายมาอยู่ที่เรือนใหญ่เป็นเพื่อนข้าเถิด”
“จะ...จริงหรือเจ้าคะ” ซูปี้ถามด้วยน้ำเสียงดีใจต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ
“ข้าเคยโกหกเจ้าด้วยอย่างนั้นหรือ”
“บ่าวไม่ได้คิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
“ตอนนี้ข้าเดินเหินไม่ค่อยสะดวกนัก ข้าวางใจยิ่งนักที่มีเจ้าอยู่ข้าง ๆ”
“ฮูหยินไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรทั้งนั้น บ่าวจะจัดการทุกอย่างให้ท่านเอง ขอเพียงท่านคลอดอย่างปลอดภัยเป็นพอ”
“หากเจ้าหมายความเช่นนั้นจริง เหตุใดถึงไม่บอกข้าเรื่องนั้น”
“เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
“ข้าได้ยินพวกสาวใช้พูดว่าเจ้าชอบพอท่านแม่ทัพ” ราวกับถูกฟ้าฟาด ซูปี้หน้าซีดเผือดทันทีด้วยความตกใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อคิดว่าความลับของตัวเองถูกเปิดเผย ก่อนจะแสดงสีหน้าเบาใจลง เมื่อเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของนายหญิง
“ข้าขอฟังจากปากเจ้า หากเจ้ามีใจให้ท่านแม่ทัพจริงข้าย่อมส่งเสริม”
“ฮูหยิน”
“ว่ามาเถิด ไม่ว่าคำตอบของเจ้าเป็นเช่นไรความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของพวกเราจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป” ชวี่อิงถามคาดคั้น พยายามเค้นคำตอบให้สาวใช้คนสนิทพูดออกมาตามความจริง ถ้าหากซูปี้คิดเกินเลยกับสามีของนางจริง ถือว่าเป็นโอกาสทองที่นางจะเข้าไปแทรกกลางระหว่างอนุอี้และซูปี้ ในเมื่อสองคนนี้คิดทำร้ายนางในที่มืดตั้งแต่แรก สู้นางดึงซูปี้ให้ออกมาเผชิญหน้ากับนางในที่สว่างคงดีเสียกว่า ศัตรูในที่ลับนั้นหาทางป้องกันได้ยากกว่าศัตรูในที่แจ้ง มิสู้ให้นางมาอยู่ข้างกายเพื่อหาทางตลบหลังเอาคืนคงดีกว่าเป็นไหน ๆ ขอเพียงหว่านล้อมให้พวกนางทั้งสองแตกคอและหักหลังกันเอง พอถึงตอนนั้นคนที่ได้ประโยชน์ที่สุดคือตัวนาง นางจะไม่ยอมถูกผู้ใดทำร้ายและใช้ชีวิตโง่งมเหมือนชีวิตครั้งก่อนแน่
“ข้าช่างเนรคุณต่อท่านนัก” ว่าพลางทรุดตัวลงร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ไม่ต้องร้องแล้ว”
“ฮูหยิน ข้าไม่ได้ต้องการหักหลังท่านนะเจ้าคะ แต่ข้าไม่อาจบังคับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อท่านแม่ทัพได้”
“ข้ารู้ เจ้าเลิกร้องไห้เถิด” ชวี่อิงใช้นิ้วโป้งปาดน้ำตาให้หญิงสาว แล้วใช้จังหวะที่นางเผลอแอบเช็ดมือข้างนั้นกับชายกระโปรงด้วยความรังเกียจ ปากบอกไม่คิดหักหลัง แต่ลับหลังกับคิดวางแผนพรากนางจากลูกน้อยในครรภ์ ช่างน่าขยะแขยงยิ่งนัก!
“ข้า ฮึกขอโทษเจ้าค่ะ”
“เจ้ายินดีมาเป็นอนุของท่านแม่ทัพหรือไม่ หากเจ้าไม่ยินยอมข้าจะไม่บังคับ”
“ที่ท่านพูดหมายความเช่นไรเจ้าคะ”
“เจ้ารู้สถานะของข้าในตอนนี้ดีไม่ใช่หรือ ท้องข้าโตขนาดนี้จะไปปรนนิบัติท่านแม่ทัพได้อย่างไร อีกอย่างถ้าได้เจ้ามาเป็นอนุอีกคนข้าคงวางใจได้เปราะหนึ่ง”
“แม้ข้ายินยอม แต่ถ้าหากท่านแม่ทัพไม่ยอมรับข้าเป็นอนุแล้วจะมีประโยชน์อันใด”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล อันที่จริงท่านแม่ทัพก็มีใจให้เจ้าอยู่บ้าง ข้าดูออกนานแล้ว” นางแสร้งพูดโกหก เพราะรู้นิสัยของสามีดีว่าเย็นชายิ่งกว่าธารน้ำแข็งที่อยู่บนเทือกเขาเสียอีก เขาสามารถร่วมหลับนอนกับสตรีอื่นนอกจากนางได้สบายอยู่แล้ว มิเช่นนั้นมารดาของเขาคงไม่ได้แสดงท่าทีออกมาชัดแจ้งว่ามีความหวังที่จะได้อุ้มหลานที่เกิดจากอี้เหรินออกมาแน่
ครั้งนี้ก็เช่นกันแค่มีอนุเพิ่มมาอีกหนึ่งคงไม่ทำให้นางรู้สึกรู้สาอันใด ในเมื่อสามีไร้ใจกับนางก่อน นางจะไร้ใจกลับคืนเช่นกัน
“ถ้าฮูหยินพูดถึงขั้นนี้แล้ว ซูปี้ยินดีที่จะเป็นอนุภรรยาอีกคนของท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ”
“ดีแล้วที่เจ้าตัดสินใจเช่นนี้”
