ต่างคนต่างความคิด
ร่างอวบอิ่มมีน้ำมีนวลเดินแบกท้องที่โตขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุครรภ์มาที่ห้องหนังสือ ภาพเบื้องหน้าคือบุรุษรูปร่างสูงสง่าพร้อมบุตรชายตัวน้อยวัยสี่ขวบกำลังนั่งคัดอักษรกันคร่ำเคร่ง แต่ถึงกระนั้นสองพ่อลูกยังคงจดจ่อไปที่กระดาษขาว โดยที่ไม่รู้ตัวว่าถูกแอบมองอยู่ จนกระทั่งเสียงกระแอมดังขึ้น
“ท่านแม่ มาแล้วหรือขอรับ” เป็นลูกชายของนางเอ่ยทักเป็นคนแรก พร้อมกับวางพู่กันลงแล้วเดินมาหาผู้เป็นมารดาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
“ตงเฉิงของแม่ ฝึกคัดอักษรเป็นยังไงบ้าง” ว่าแล้วจับมือเล็กป้อมเดินนำไปยังโต๊ะที่มีของว่างวางอยู่
“สนุกมากขอรับ”
“งั้นหรือ เช่นนั้นก็กินเยอะ ๆ จะได้มีแรง” นางตอบด้วยรอยยิ้ม สองแม่ลูกพูดคุยกันจนเผลอลืมสามีที่ยังยืนอยู่ในห้องไปโดยปริยาย
“พวกเจ้าลืมข้าไปแล้วหรือ” แม่ทัพตงหยางเอ่ย ก่อนเดินมาหาทั้งคู่
“ท่านพ่อ มาทานขางว่างกับตงเฉิง ของที่ท่านแม่เตรียมมาให้อร่อยถูกปากลูกที่สุดเลยขอรับ”
“เจ้าน่ะกินอะไรก็อร่อยไปหมดนั่นแหละ” เขาตอบกลับ พร้อมกับจ้องมองร่างอวบอั๋นของบุตรชายที่ไม่มีทีท่าว่าจะผอมลงสักนิดเดียว
“ก็ขนมที่ท่านแม่นำมาให้อร่อยนี่ขอรับ”
“เอาเถิด พ่อจะไม่ว่าเจ้า เพียงแต่ของหวานพวกนี้กินมากไปก็ไม่ดี อีกสองปีข้างหน้าเจ้าจะต้องฝึกฟันดาบกับฝึกวรยุทธ์กับพ่อยังจำได้หรือไม่”
“จำได้ขอรับ” ถึงปากจะตอบบิดาไปเช่นนั้น แต่มือทั้งซ้ายขวากับถือขนมไว้ทั้งซ้ายขวา ทำให้ผู้เป็นพ่อส่ายหัวไปมาด้วยความเอ็นดู
“ท่านพี่อย่าได้กดดันลูกนักเลยเจ้าค่ะ ให้ตงเฉิงเลือกเองเถิดว่าอยากทำหรือไม่”
“มีบุรุษใดบ้างที่ไม่เคยฝึกวรยุทธ์ ข้าแค่ทำตามหน้าที่ อีกอย่างตงเฉิงไม่ได้ขัดค้านเสียหน่อย จริงไหม” ท้ายประโยค เขาถามบุตรชาย
“ขอรับ ท่านอาจารย์เคยสอนว่าเกิดเป็นบุรุษมีหน้าที่ปกป้องบ้านเมือง และการที่จะสามารถทำเช่นนั้นได้จะต้องเก่งการต่อสู้”
“แล้วแม่เล่า เจ้าไม่คิดอยากปกป้องบ้างหรือ” ชวี่อิงถามลูกน้อย
“ท่านแม่มีท่านพ่อที่คอยปกป้องดูแลแล้วไม่ใช่หรือขอรับ” เขาถามมารดาตาใส พาลให้ทั้งคู่หันมาสบตากันโดนมิได้นัดหมาย เพราะไม่รู้จะตอบบุตรชายว่าอย่างไรถึงจะเหมาะสม
“ใช่แล้วล่ะ แม่ของเจ้ามีพ่ออยู่ทั้งคน ส่วนเจ้าก็ตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี” เขาตอบ โดยที่ยังคงสบตากับแม่ของลูกราวกับต้องการจะสื่อถึงบางอย่าง หากเป็นเมื่อก่อนนางคงหลงกลคำพูดของเขาที่บอกว่าจะปกป้องดูแลนาง แต่ตอนนี้นอกจากนางจะไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวไปกับคำพูดและสายตาชวนลุ่มหลงนี่แล้ว ในใจยังคงโต้แย้งเสียงดังว่าอย่าได้เชื่อคำพูดผู้ใด สิ่งที่ตัวนางสามารถเชื่อใจได้มีเพียงตัวเองเท่านั้น
“ข้ามีเรื่องอยากคุยกับท่าน เรื่องสำคัญเจ้าค่ะ” ชวี่อิงตัดจบบทสนทนาก่อนหน้า แล้ววกเข้าเรื่องที่นางต้องการบอกกับเขา
แววตาเรียบนิ่งประดุจสายน้ำทำเอาคนที่จ้องมองพลอยลมหายใจสะดุดตามไปด้วย ท่าทีแปลกตาของสตรีที่เขารู้จักนานนับห้าปี เขามองนางราวกับคนแปลกหน้าด้วยความไม่ชินชาที่เห็นหญิงสาวแสดงท่าทีเช่นนี้
“เรื่องอะไรรึ”
“ตงเฉิง ลูกออกไปวิ่งย่อยอาหารกับสือซวนก่อนเถิด”
“ขอรับ ท่านแม่” เด็กน้อยเอ่ยอย่างว่างาย แล้ววิ่งไปหาสือซวนที่ยืนอยู่ด้านนอกทันที
คล้อยหลังบุตรชายได้ไม่นานนัก นางจึงได้เอ่ยเข้าประเด็น
“ข้าคิดว่าจะให้ท่านพี่รับอนุเข้ามาเพิ่มเจ้าค่ะ”
“ฮูหยิน นี่เจ้า” เขาถามเรียกนางด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
ซ่งตงหยางรู้แจ้งดีที่สุดว่าคนตรงหน้ารักเขามากเพียงใด แล้วทำไมจู่ ๆ นางถึงได้คิดให้เขามีอนุภรรยาเพิ่มกัน เขาคิดว่าไม่มีสตรีใดอยากให้บุรุษที่ตนรักมีหญิงอื่นนอกจากตัวเอง แล้วทำไมนางถึงได้ทำเช่นนี้เล่า...
