ตอนที่3 ท่านตา
“ใช่... สายเลือดที่ข้าไม่เคยเต็มใจจะยอมรับ!” เจียงหยางโต้กลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไร้เยื่อใยใด ๆ “หากเจ้าทนไม่ได้ ข้าจะลงนามหย่าให้เดี๋ยวนี้”
“ท่านแม่เจ้าคะ...” เสียงเล็กแผ่วเบาดังขึ้น เจียงอันเล่อเห็นท่านพ่อเกรี้ยวกราด ท่านแม่แผดเสียงด้วยความเจ็บปวด นางรู้สึกว่าตนเองคือต้นเหตุของความบาดหมางครั้งนี้ จึงยื่นมือเล็ก ๆ ไปดึงชายแขนเสื้อของมารดา พลางส่งสายตาอ้อนวอน
หวังลู่ฉีมองดวงตาของบุตรสาว แล้วกลืนความขมขื่นทั้งหมดลงไป “ก็ได้ แม่จะไม่พูดอะไรอีกแล้ว” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอดทน “เชิญท่านกลับไปเถิด เรือนหลังนี้คับแคบเกินกว่าจะต้อนรับท่านได้” ประโยคสุดท้ายเจือไปด้วยความตัดพ้อที่แสนร้าวราน
เจียงหยางสะบัดหน้าหนี ฟึดฟัดเดินออกจากเรือนไป ในใจคุกรุ่นด้วยโทสะ ปกติหวังลู่ฉีมักส่งเสียงออดอ้อน ยั่วยวนเขาอย่างเจ้าเล่ห์ แต่ครั้งนี้ กลับทำให้เขาโกรธจนแทบระงับไม่อยู่
เมื่อสามีเดินจากไป หวังลู่ฉีทิ้งร่างอันเหนื่อยล้าลงบนเตียง ถอดรองเท้าอย่างแผ่วเบา แล้วขยับเข้าไปนอนข้างบุตรสาว วงแขนเรียวโอบกอดร่างเล็กเอาไว้แนบแน่น น้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตา
“ที่ผ่านมา แม่ขอโทษเจ้า... ขอโทษจริง ๆ” น้ำเสียงของนางแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้น
เด็กหญิงตัวเล็กหลับตาลงอย่างเป็นสุข ความอบอุ่นจากอ้อมกอดของมารดาโอบล้อมหัวใจของนางไว้แน่น วันนี้ นางมีความสุขเหลือเกิน จนเผลอคิดว่านี่อาจเป็นเพียงฝันไป
มือน้อย ๆ ยกขึ้นหยิกแขนตนเองเบา ๆ ความเจ็บทำให้นางสะดุ้งเล็กน้อย
ไม่ใช่ฝัน... นี่คือความจริง
เจียงอันเล่อซุกใบหน้าเล็ก ๆ ลงกลางอกของมารดา เสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทำให้เด็กหญิงยิ้มออกมาอย่างเป็นสุข ความอบอุ่นแผ่ซ่านทั่วร่างเล็กน้อยจนในที่สุด นางก็หลับใหลไปพร้อมรอยยิ้มที่ยังแต้มบนริมฝีปาก
หวังลู่ฉีรู้สึกปวดแปลบที่แผ่นหลัง บาดแผลจากการถูกโบยยังทิ่มแทงความรู้สึก ทว่าเจ็บกายเพียงใดก็ไม่เท่าความปวดร้าวในใจ ถึงแม้เขาจะทำร้ายนางอย่างไร นางก็ยังรักเขาอย่างโง่งม
ขณะที่รอท่านลุงรอง นางนึกถึงคำพูดอันเย็นชาของเจียงหยางที่ประกาศว่าจะหย่ากับนางเสียให้ได้... บางที การคืนอิสระให้เขาอาจเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว ความผิดในอดีตที่นางก่อขึ้นย่อมคู่ควรกับความชิงชังที่เขามีให้ ต่อให้มีพยานรักร่วมกัน แต่ความหวังที่เขาจะหันมามองนางก็เป็นเพียงความว่างเปล่า
ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่แต่งเข้าตระกูลเจียง นางทุ่มเทความรักและความหวังทั้งหมดให้แก่เขา แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงความเฉยชาและเย็นเยียบ ตำแหน่งฮูหยินเอกตกเป็นของคู่หมั้นผู้สูงศักดิ์ ส่วนนางได้เป็นเพียงฮูหยินรอง ผู้หญิงที่ใช้เล่ห์กลเพื่อยัดเยียดตนเองเข้าสู่ตระกูลเจียง
เมื่อนึกย้อนกลับไปยังวันวาน คำสอนของบิดา ยังคงดังอยู่ในความทรงจำ แต่ในตอนนั้น นางกลับไม่ฟังใครเลย มีเพียงแม่เล็กเท่านั้นที่รักและคอยสนับสนุนนาง โดยไม่รู้เลยว่า ความรักของแม่เล็กเต็มไปด้วยยาพิษที่แสนร้ายกาจ แม่เล็กตามใจนางทุกอย่าง จนในที่สุด นางก็มืดบอดด้วยความเอาแต่ใจของตนเอง ไม่อยากร่ำเรียนก็ไม่ต้องเรียน เพียงเพราะแม่เล็กคอยเอ่ยปากช่วย
และเมื่อได้สติ นางก็พบว่า... ทุกอย่างสายเกินแก้
ความผิดทั้งหมดนี้ นางไม่อาจโทษใครได้ นอกจากความเขลาเบาปัญญาของตัวเอง
ทว่ายามนี้ สิ่งใดเล่าจะล้ำค่าเทียบเท่าสายเลือดตัวน้อยที่กำลังหลับใหลด้วยความสุข ในขณะที่หวังลู่ฉีทบทวนความผิดในอดีต เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้น สืออิงเดินเข้ามาพร้อมกับรายงานว่า “นายท่านรองมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
“หลานสาวของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เสียงของท่านลุงรองดังขึ้นทันทีที่พบสาวใช้ของหลานรัก สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง แม้หนทางจะยากลำบากและหนาวเหน็บเพียงใด เขาก็ฝ่าฟันมาจนถึง เนื้อตัวของเขาเย็นเยียบจนน่าหวั่นใจ โชคดีที่ในรถม้ามีเตาอุ่นช่วยคลายความหนาวได้บ้าง
หวังลู่ฉีลุกจากเตียง ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด นางยอบกายลงคำนับ “คารวะท่านลุงรองเจ้าค่ะ”
สายตาของท่านลุงรองกวาดมองร่างหลานสาว เห็นรอยแผลที่แผ่นหลังก็ถามด้วยความสงสาร “นี่เจ้าถูกตีหรือ?”
หลานสาวผู้นี้ ชีวิตขาดความรักความอบอุ่นมาตั้งแต่เยาว์วัย แต่งเข้าตระกูลเจียงก็ยังไม่ได้รับความรักจากสามี ยิ่งเห็นสภาพเช่นนี้ ความเจ็บปวดและเวทนายิ่งท่วมท้นหัวใจ
“หลานถูกตีแค่นี้ไม่นับเป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ แต่เล่อเอ๋อร์ป่วยหนักเพราะความผิดของหลานเอง” น้ำเสียงของหวังลู่ฉีสั่นไหว ความรู้สึกผิดกัดกินหัวใจ มารดาที่ดีคนใดจะปล่อยให้ลูกสาวต้องทนทุกข์เช่นนี้ “หลานมันเป็นมารดาที่ชั่วร้ายเหลือเกิน”
เจียงอันเล่อได้ยินคำพูดนั้น หัวใจเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความทุกข์ นางไม่อยากให้ท่านแม่ตำหนิตัวเองซ้ำ ๆ จึงยื่นมือเล็ก ๆ จับมือมารดาไว้แน่น เอ่ยปลอบประโลมด้วยเสียงอ่อนโยน
“สำหรับข้าแล้ว ท่านแม่เป็นแม่ที่ดีที่สุดเจ้าค่ะ”
คำพูดของเด็กน้อยแสนบริสุทธิ์นั้น หลั่งรดหัวใจที่แห้งแล้งของหวังลู่ฉีให้ชุ่มชื้น ความเจ็บปวดที่มี ถูกปลอบโยนด้วยความรักอันบริสุทธิ์จากสายเลือดของนางเอง
ชายสูงวัยถือโอกาสสำรวจเรือนของหลานสาว สายตาสะดุดเข้ากับแคร่ไม้ตัวหนึ่งที่มีเตาถ่านวางอยู่ด้านล่าง เขาชี้ไปที่แคร่พลางเอ่ยเสียงเข้ม “นี่เจ้าให้เล่อเอ๋อร์นอนผิงไฟบนแคร่นั่นหรือ?”
“เจ้าค่ะ” หวังลู่ฉีตอบอย่างใสซื่อ โดยไม่ทันคิดทบทวนถึงความผิดพลาดในสิ่งที่ทำ
หวังเส้าเฟิงขมวดคิ้วจนเป็นปม เอ่ยด้วยน้ำเสียงตำหนิอย่างกลัดกลุ้ม “ตระกูลหวังสั่งสอนเจ้ามาอย่างไรกัน? มีที่ไหนให้คนป่วยนอนผิงไฟแบบนั้น หากไม่สุกตายก็นับว่าโชคดีมากแล้ว!” เขาอดกังวลไม่ได้ หลานสาวผู้นี้เติบโตมาได้อย่างไรกัน ตอนเด็กก็น่ารักสดใส แต่เหตุใดตอนนี้ถึงดูเปลี่ยนไปเช่นนี้
ใบหน้าซีดเซียวของหวังลู่ฉีเจื่อนลงด้วยความรู้สึกผิด นางทำได้เพียงยิ้มบาง ๆ ให้ท่านลุง
หวังเส้าเฟิงถอนหายใจยาว ยกมือขึ้นเหมือนจะต่อว่า แต่ก็ยั้งไว้ ก่อนจะหันไปมองหลานตัวน้อยที่นอนอยู่บนเตียง เขาก้าวเข้าไปนั่งข้าง ๆ แล้วเอื้อมมือจับชีพจรของเด็กหญิงอย่างระมัดระวัง
คิ้วหนาขมวดอีกครั้ง “นางรับความเย็นมากเกินไป หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้อีก อาจป่วยหนักจนยากรักษา ดูแลให้ดีเถิด”
กล่าวจบ เขาลุกไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวกลม พลางสั่งให้สืออิงนำพู่กันและแท่นฝนหมึกมา เตรียมเขียนใบสั่งยา สีหน้าหดหู่แฝงความกังวล สายตาที่มองหลานสาวเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่ไม่อาจเอ่ยเป็นคำพูด สุดท้ายก็กลืนคำพูดเหล่านั้นลงคอไป
“เอายานี้ไปให้ร้านเถ้าแก่หม่า พรุ่งนี้ให้ลงบัญชีไว้กับข้า”
“ท่านลุงรอง เงินของข้ายังพอมีใช้เจ้าค่ะ รบกวนท่านมากเกินไปแล้ว” หวังลู่ฉีพยายามปฏิเสธ แม้เบี้ยหวัดจะขาดแคลน อาหารการกินและเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เป็นของเก่าเก็บ แต่การต้องพึ่งพาท่านลุงเรื่อยไป ทำให้นางรู้สึกผิดในใจ
สินเดิมที่บิดาให้ไว้ในวันแต่งงานร่อยหรอลงทุกที หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป นางคงไม่พ้นต้องอดตายเป็นแน่...
เกรงว่าท่านลุงจะเป็นกังวลก็เพราะตัวนาง หญิงสาวจึงคลี่ยิ้มอ่อนละมุนพลางเอ่ยเบา ๆ “ท่านลุงอย่าได้กังวลไปเลยเจ้าค่ะ คนในจวนนี้หาใช่คนใจแคบไม่ ท่านพี่เขาเพียงปากไม่ตรงกับใจเท่านั้น เมื่อครู่ยังถามข้าด้วยความห่วงใยว่า ข้ากับลูกเป็นอย่างไรกันบ้าง แต่ข้าก็บอกเขาไปเองว่าให้สืออิงไปตามท่านแล้ว ท่านพี่จึงออกไปเจ้าค่ะ”
คำพูดเหล่านั้นเป็นเรื่องโป้ปดคำโตที่หวังลู่ฉีจงใจกล่าวเพื่อปลอบใจผู้เป็นลุง หวังเส้าเฟิงจ้องมองดวงตาที่หม่นหมองของหลานสาว มีหรือที่เขาจะดูไม่ออกว่านางกล่าวเพื่อให้เขาคลายกังวล ชายสูงวัยจึงยิ้มบาง ๆ ก่อนเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“ก็ได้ ๆ เอาล่ะ ดื่มน้ำอุ่นให้มากเข้าไว้ ส่วนในห้องนี้ไม่ต้องเพิ่มเตาแล้ว หากเพิ่มอีกนิด คงได้ไหม้เกรียมกันอยู่ในนี้กระมัง”
“นอนพักเถอะหลานตา เดี๋ยวอีกสองสามวัน ตาจะมาเยี่ยมใหม่”