ตอนที่2 ความคิดตื้นเขิน
หวังลู่ฉีรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบจนแทบแหลกสลาย นางสะอื้นไห้จนแทบสิ้นสติ มือที่สั่นระริกปลดเสื้อคลุมของตนออกอย่างทุลักทุเล คลุมร่างบอบบางเย็นเฉียบของบุตรสาวไว้ แม้แผ่นหลังของนางจะเต็มไปด้วยบาดแผลจากการถูกโบย ความเจ็บปวดนั้นแล่นริ้วไปทั่วร่าง แต่นางกัดฟันข่มความทรมานเอาไว้ รวบรวมเรี่ยวแรงสุดท้ายโอบอุ้มร่างของลูกสาวแนบอก ร่างเล็กในอ้อมแขนนั้นเหมือนจะเย็นเยียบลงเรื่อยๆ ราวกับน้ำแข็งเกาะกินถึงกระดูก
นางก้าวเดินฝ่าหิมะที่หนาทึบ รีบเร่งฝีเท้ากลับไปยังเรือนเล็กที่อยู่ไม่ไกล แต่กลับรู้สึกเหมือนหนทางนั้นยาวไกลเกินเอื้อม ระหว่างทาง หวังลู่ฉีเอ่ยเรียกชื่อลูกสาวไม่ขาดเสียง หวังว่าความอบอุ่นในคำพูดของนาง จะปลุกให้เด็กน้อยรับรู้ว่ามารดาผู้นี้รักนางสุดหัวใจ
ในที่สุด นางก็กลับมาถึงเรือนเล็กหลังเก่าที่เต็มไปด้วยความทรงจำ ประตูถูกเปิดแง้มรอไว้แล้ว ความอบอุ่นจากเตาถ่านที่ถูกจุดไว้ใต้แคร่ไม้ยังพอช่วยบรรเทาความหนาวเหน็บได้บ้าง น้ำอุ่นในกาน้อยก็พร้อมสำหรับการดูแลรักษา
หวังลู่ฉีวางร่างเล็กของเจียงอันเล่อลงบนแคร่ไม้ แววตาที่คลอด้วยน้ำตาสั่นไหวไม่หยุด เสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวยังห่อหุ้มร่างของลูกสาวเอาไว้อย่างสุดความสามารถ นางเอื้อมมือแตะแก้มซีดเผือดนั้นเบาๆ หัวใจแทบขาดรอนๆ
“ฮูหยินเจ้าคะ คุณหนูจะต้องไม่เป็นอะไร” สืออิงเอ่ยเสียงสั่น นางเดินวนไปมาด้วยความกระวนกระวาย ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น มองนายหญิงและคุณหนูน้อยด้วยความเวทนาเหลือแสน พยายามปลอบประโลมอย่างสุดความสามารถ
หวังลู่ฉีพยักหน้าทั้งที่น้ำตารินไหลไม่หยุด “ข้าก็หวังเช่นนั้น...” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบา ราวกับคนที่กำลังจะสิ้นหวังเต็มที “รีบไปตามลุงรองมา บอกเขาให้รีบมาให้เร็วที่สุด...” เสียงของนางสั่นเครือเต็มไปด้วยความหวังสุดท้าย ท่านลุงรองมีฝีมือในการฝังเข็มเยี่ยมยอดนัก ถ้าเขามาทันเวลา บางที... บุตรสาวของนางอาจยังมีโอกาสรอดชีวิต
สืออิงลังเลเล็กน้อย มองออกไปนอกหน้าต่างที่มีหิมะโปรยปรายหนาทึบ “หิมะตกหนักเยี่ยงนี้ ท่านหมอหวังจะมาได้หรือเจ้าคะ...” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ถนนหนทางในยามนี้ทั้งมืดและลื่น การเดินทางคงยากลำบากยิ่ง
แต่หวังลู่ฉีไม่มีทางเลือกอื่น นางเพียงภาวนาให้สวรรค์เมตตาสักครั้ง เพื่อช่วยเหลือชีวิตเล็กๆ ที่ไร้เดียงสานี้ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือความตาย...
หวังลู่ฉีรำพึงในใจ “หากสวรรค์เมตตาข้าอีกครั้ง ก็ขอให้ท่านลุงรองมาทันเวลา ช่วยชีวิตลูกสาวของข้าด้วยเถิด” แม้ความหวังจะดูริบหรี่ ทว่านางก็ยังคว้าไว้ราวกับเป็นสิ่งสุดท้ายที่ยึดเหนี่ยว หากสวรรค์ให้โอกาสนางหวนคืนมาอีกครา แล้วไยบุตรสาวของนางจะไม่ได้รับโอกาสเช่นกัน? นางพยายามปลอบตนเอง “หากท่านลุงรู้เรื่อง เขาย่อมเร่งเดินทางมาแน่...”
ระหว่างรอการมาถึงของท่านลุงรอง หวังลู่ฉีประคองบุตรสาวขึ้นนอนบนแคร่ไม้ แผ่นอกของนางแนบชิดกับร่างเล็กที่เย็นเฉียบ พยายามถ่ายทอดไออุ่นทั้งหมดที่มีให้แก่ลูก นางเอื้อมมือจับชีพจรเล็กๆ บนข้อมือนั้น จังหวะการเต้นแผ่วเบาราวกับจะดับสูญได้ทุกเมื่อ
ใบหน้าของหวังลู่ฉีซีดเซียวไร้สีเลือด แต่ในยามนี้นางกอดบุตรสาวเอาไว้แน่น สองแขนสั่นระริกด้วยความกังวล เด็กหญิงตัวน้อยสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น จึงซุกตัวเข้าไปในอ้อมอกของมารดา ความอบอุ่นแผ่ซ่านราวกับเปลวไฟในฤดูหนาวที่โหมกระพือขับไล่ความเหน็บหนาวที่กัดกินจนแทบร่างแข็งเป็นน้ำแข็ง
เสียงพึมพำเบาๆ ของหวังลู่ฉีดังขึ้นข้างหู เสียงนั้นคุ้นเคย อ่อนโยน และอบอุ่นจับใจ เจียงอันเล่อขยับแพขนตางอนงามขึ้นอย่างเชื่องช้า ความปวดร้าวแล่นทั่วร่าง ความเหนื่อยล้าทำให้การขยับเขยื้อนเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่กลับรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่ทำให้ยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งเสียงปุปะของถ่านที่ลุกไหม้ในเตายังคงดังไม่จางหาย
หวังลู่ฉีเห็นร่างเล็กขยับไหว ความยินดีพุ่งขึ้นมาจุกอก นางก้มลงเรียกบุตรสาวด้วยเสียงสั่นเครือ “เล่อเอ๋อร์... เจ้าได้ยินแม่หรือไม่ เล่อเอ๋อร์...” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวังและความรักที่หลั่งไหลออกมาอย่างท่วมท้น
“ทะ...ท่าน...แม่...” เสียงแหบแห้งและเบาแทบขาดหาย เจียงอันเล่อกะพริบตา ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าสบเข้ากับดวงหน้าของมารดาที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ความกระหายน้ำแล่นขึ้นมา แต่สิ่งที่อบอุ่นหัวใจยิ่งกว่าคือ...การได้พบอ้อมกอดของแม่อีกครั้ง
มือน้อย ๆ ยื่นออกไปสัมผัสแก้มของมารดาอย่างแผ่วเบา ความรู้สึกนุ่มนวลจากผิวแก้มนั้นทำให้นางอดคิดไม่ได้ว่าตนคงฝันไป ฝ่ามือเล็กสั่นไหวเล็กน้อย แต่ก็ยังพยายามยิ้ม แม้ความเหนื่อยล้าจะกัดกินจนแทบสิ้นเรี่ยวแรง นางกระซิบเสียงแผ่ว “ท่านแม่...”
หวังลู่ฉีก้มลงประคองบุตรสาวไว้แนบอก ร่างบอบบางที่กอดรัดไว้ยิ่งทำให้นางรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ น้ำเสียงสั่นเครือด้วยความรู้สึกผิด “เจ้าเจ็บตรงไหน บอกแม่สิ... แม่ไม่ดีเอง เล่อเอ๋อร์...”
ดวงตากลมโตของเจียงอันเล่อรื้นด้วยน้ำตา แต่แววตากลับเปี่ยมด้วยความตื้นตัน “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร” เสียงของนางเบาราวสายลม เด็กหญิงผู้รู้ประสาไม่เคยเอ่ยคำตัดพ้อต่อว่า เพราะไม่อยากให้มารดาต้องลำบากใจ แต่วันนี้... ความทุ่มเทของนางไม่สูญเปล่า ในที่สุด ท่านแม่ก็กอดนางไว้ กอดด้วยความรักอย่างแท้จริง
หวังลู่ฉีค่อย ๆ ช้อนร่างเล็กขึ้นจากแคร่ไม้ พาไปวางบนเตียงที่นุ่มกว่า แล้วห่มผ้าหนาให้เพื่อคลายความหนาวเย็น ฝ่ามือเรียวไล้ไปตามกรอบหน้าของบุตรสาวอย่างแผ่วเบา แววตาของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ความรักอันเปี่ยมล้นที่ไม่เคยเผยออกมาได้ชัดเจนเช่นนี้มาก่อน
เสียงหวานเจือความสำนึกผิดเอื้อนเอ่ยออกมา “ต่อจากนี้ แม่จะเป็นมารดาที่ดี เล่อเอ๋อร์... ยกโทษให้แม่เถิด แม่ผิดไปแล้วจริง ๆ”
หัวใจดวงน้อยของเจียงอันเล่อเต้นแรงด้วยความตื้นตัน นางอยากจะร้องไห้โฮออกมาสักครั้ง แต่รู้ว่าท่านแม่ไม่ชอบให้เห็นน้ำตาของนาง เด็กหญิงจึงฝืนกลั้นความสะอื้นไว้ และมอบรอยยิ้มแสนหวานให้มารดาแทน
“เจ้าค่ะ ข้ายังรักท่านแม่เสมอ...” ไม่ว่านางจะเคยถูกตี ถูกดุเพียงใด ท่านแม่ก็ยังเป็นท่านแม่เสมอ ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงความรักนี้ได้เลย
ทว่าบิดากลับไม่เคยมอบความรักให้แก่นางเลยสักครั้ง เขามิเหลียวแลนางแม้แต่นิดเดียว กลับรักใคร่เอ็นดูน้องรองยิ่งกว่า ส่วนแม่ใหญ่ก็ชิงชังนางเสียจนสุดหัวใจ สุดท้ายแล้ว ต่อให้มารดาของนางจะโหดร้ายเพียงใด อย่างน้อยนางก็ยังได้รับการเหลียวแลบ้าง
ระหว่างที่รอท่านหมอหวัง ท่านลุงรองของหวังลู่ฉี สองแม่ลูกได้พูดคุยกันเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ปกติแล้ว มารดาของนางมักจะเกรี้ยวกราดเสมอ เจียงอันเล่อไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมท่านแม่จึงกลายเป็นคนเฉียบขาดและฉุนเฉียวถึงเพียงนี้
“ดื่มน้ำสักหน่อยไหม” หวังลู่ฉีเอ่ยเสียงแผ่ว รีบร้อนหยิบกาน้ำชา แต่ด้วยความไม่ระวัง น้ำชาร้อนจึงหกกระเซ็นลงบนพื้น
“ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” เด็กหญิงตัวเล็กมองท่านแม่อย่างอ่อนโยน แค่เห็นท่านแม่เอาใจใส่เท่านี้ก็ทำให้นางดีใจจนเกินพอแล้ว
“แม่รินให้ใหม่...” หวังลู่ฉีเทน้ำชาใส่ถ้วยอย่างระมัดระวัง ประคองบุตรสาวให้เอนหลังพิงหัวเตียงอย่างแผ่วเบา นางยื่นถ้วยน้ำชาที่อุ่นพอเหมาะจ่อริมฝีปากเล็ก ๆ นั้น “ค่อย ๆ ดื่มนะ มันร้อน”
ไม่ทันที่ช่วงเวลาแห่งความอบอุ่นจะยาวนาน เสียงประตูเปิดกระแทกดังขึ้น “ดีนี่... สองแม่ลูกแสดงละครเก่งเสียจริง” เสียงเย้ยหยันของเจียงหยางดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบ
หวังลู่ฉีตัวชาวาบ ราวกับถูกทิ่มแทงด้วยเข็มนับพันเล่ม นางหันไปมองสามีของตน ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ยากจะกลั้นไว้ได้
“ท่านพี่...” ความเจ็บปวดจากบาดแผลทั่วแผ่นหลังยังมิอาจเทียบเท่ากับคำพูดเย็นชาที่หลุดออกจากปากเขา
“ถูกโบยแค่นี้ เจ้าคงไม่เจ็บมากนักหรอกกระมัง? หรือใช้มารยาออดอ้อน หวังให้ข้าสนใจพวกเจ้าอีกครั้ง?” เจียงหยางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ในแววตาของเขาไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความสงสาร
หากไม่ใช่เพราะคืนอัปยศคืนนั้น ที่เขาถูกมอมสุราและเห็นนางเป็นคนรัก ก็คงไม่พลาดพลั้งต้องแต่งงานกับนางให้คู่หมั้นต้องอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
คำพูดของเขาเสียดแทงเข้าไปถึงหัวใจของหวังลู่ฉี ความเจ็บปวดที่กัดกินหัวใจทำให้นางแทบหายใจไม่ออก นางกอดบุตรสาวแน่นขึ้นราวกับจะปกป้องความรักเพียงหนึ่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่
ความผิดครั้งนี้ จะเป็นของใครได้อีก นอกจากหวังลู่ฉีและคนตระกูลหวังพวกนั้น ช่างชั่วช้า ต่ำทรามเสียจริง!
หวังลู่ฉียืนกราน ดวงตาแดงก่ำ ยกมือเท้าเอว เอ่ยตัดพ้อชายผู้เป็นสามีด้วยน้ำเสียงเจ็บช้ำ “ข้าก็มีหัวใจ มีเลือดเนื้อเหมือนคนอื่น ไยท่านจึงกล่าวร้ายข้ากับลูกเยี่ยงนี้? นางก็เป็นลูกของท่านเหมือนกัน!”