บท
ตั้งค่า

ตอนที่4 ท่านบอกว่า

หวังเส้าเฟิงลุกขึ้นยืน สายตาหันไปมองเด็กหญิงตัวเล็กที่อยู่ใกล้ ๆ เขารู้ดีว่านางได้ยินทุกคำ เพียงแต่กำลังทำทีเขินอายเสียจนไม่กล้าเงยหน้า ช่างน่ารักน่าชังเสียจริง หากมีหลานน่าเอ็นดูเยี่ยงนี้ เขาคงหลงจนไม่ลืมหูลืมตา ก่อนก้าวออกจากเรือน ชายสูงวัยหยิบถุงเงินจากอกเสื้อแล้วยัดใส่มือนางอย่างไม่ให้ปฏิเสธ

หวังลู่ฉีรีบส่ายหน้า พยายามดึงดันกล่าวปฏิเสธ “ท่านลุงรอง เงินนี่มากเกินไปสำหรับพวกเรา ข้ารับไว้ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ หากจะให้กันจริง ๆ ต้องเป็นข้าที่ต้องมอบให้ท่านถึงจะถูก”

หวังเส้าเฟิงถอนหายใจยาว ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “ข้าจะรับเงินจากหลานได้อย่างไรกันเล่า? ถึงข้าจะไม่ใช่สายเลือดตระกูลหวังโดยแท้ เป็นเพียงลูกบุญธรรมที่ถูกรับมาเลี้ยง ยามนั้นพี่ใหญ่รังแก น้องสามก็ดูแคลน มีเพียงพ่อของเจ้าเท่านั้นที่เห็นข้าเป็นพี่ชายแท้จริง อะไรที่มี ก็มักนำมาให้ข้าเสมอ”

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ดังนั้น เมื่อเจ้าลำบาก ลุงรองไม่มีวันทอดทิ้งเจ้าแน่นอน”

คำพูดของเขาทำให้ความทรงจำในอดีตแวบขึ้นในใจ หวังลู่ฉีเงยหน้ามองผู้เป็นลุง รู้ดีว่าความผูกพันนั้นฝังแน่นอยู่ในจิตใจ แม้กาลเวลาจะผ่านไปเพียงใดก็ตาม

ยามนี้ เขาคือหมอผู้มีฝีมือพอประมาณ และเป็นที่ยอมรับของชาวเมืองซื่อโจวไม่น้อย ด้วยความรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณต่อความเมตตาในอดีตของน้องสี่ ซึ่งก็คือบิดาของหวังลู่ฉี เขาย่อมพร้อมที่จะตอบแทนสิ่งใดก็ตามที่พอช่วยเหลือได้

บัดนี้ หลานสาวผู้เป็นที่รักของเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก แม้ปากจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่แววตากลับไม่อาจปิดบังความจริงได้ เมื่อครู่สิ่งที่นางพูดก็เป็นเพียงคำโป้ปดเพื่อให้เขาสบายใจ

หวังเส้าเฟิงที่รู้ดีจึงแสร้งทำเฉไฉ เออออตามน้ำ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เก็บเงินนี่เอาไว้เถอะ หากมีเรื่องใดก็ให้สืออิงส่งข่าวมาบอกข้า นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้าเองก็ยังบาดเจ็บอยู่ ดูแลรักษาบาดแผลให้ดี อากาศหนาวไม่เหมาะต่อแผลเลย ต่อจากนี้จงระมัดระวังให้มาก อย่าให้นางตัวเล็กถูกลมเย็นเกินไปนัก”

คำพูดเหล่านั้นทำให้หวังลู่ฉีซาบซึ้งจนดวงตาทั้งสองเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา นางรับถุงเงินมาด้วยความยินยอมและนอบน้อม จากนั้นยอบกายลงอย่างอ่อนช้อยเพื่อแสดงความขอบคุณ

“ท่านลุงรอง ข้าไม่ส่งท่านนะเจ้าคะ ให้สืออิงไปส่งแทนข้าเถิด” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“เจ้าค่ะ ฮูหยิน” สืออิงรับคำอย่างนอบน้อม

นับจากวันที่ลุงรองเดินทางมาตรวจอาการของหลานสาว หวังลู่ฉีก็เฝ้าดูแลบุตรสาวอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทุกวันนางจะลงมือเคี่ยวสมุนไพรด้วยตัวเอง ป้อนยาจนบุตรสาวมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่กระนั้น หวังลู่ฉีก็ยังคงดูแลอย่างพิถีพิถันเช่นเดิม ทั้งเปลี่ยนอาภรณ์ เช็ดตัว และสางผมให้บุตรสาวด้วยความรัก

ในยามสายของวัน ผู้เป็นมารดาเปิดหน้าต่างออกเพื่อรับแสงแดดอุ่น ๆ ที่ส่องเข้ามา ถึงแม้ยังมีไอความเยียบเย็นจากสายลมพัดผ่านเข้ามา นางก็นั่งอยู่ริมหน้าต่าง จับเข็มปักผ้าเช็ดหน้าด้วยความตั้งใจ ใบหน้าพริ้มเพรา ดวงตากลมโตสุกสกาว แต่มองดูผลงานในมือตัวเองพลางถอนหายใจเบา ๆ มันดูไม่งดงามเท่าใดนัก ลายปักสะเปะสะปะจนไม่น่ามองเอาเสียเลย

เจียงอันเล่อ บุตรสาวตัวน้อยวัยสามขวบ นอนเบื่อหน่ายอยู่บนเตียง จึงค่อย ๆ คลานลงมาแล้วเดินมาดูใกล้ ๆ ว่าท่านแม่ปักผ้าเช็ดหน้าได้อย่างไร นางยื่นหน้าเข้าไปดู ก่อนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงใส ๆ แต่มีแววขี้เล่นปนอยู่

“ท่านแม่ แน่ใจหรือเจ้าคะว่าจะให้ใช้?”

คำพูดของเด็กน้อยแม้จะดูซื่อ ๆ แต่แฝงด้วยความเจ้าเล่ห์ เล่นเอาผู้เป็นมารดาต้องหันมามองค้อนพร้อมยิ้มแห้ง “อายุแค่สามขวบปี กลับกล้าต่อว่าข้าแล้วหรือ” นางพูดพลางวางผ้าเช็ดหน้าลงบนโต๊ะ จ้องมองบุตรสาวอย่างแง่งอน

ท่วงท่าของท่านแม่ที่แสดงออก ทำเอาแม่หนูน้อยทำหน้าไม่ถูก รีบเข้ามาประจบประแจงทันที “ท่านแม่เจ้าขา ลูกขอโทษเจ้าค่ะ ลูกผิดไปแล้ว!”

เจียงอันเล่อโถมกอดมารดาแน่น แนบใบหน้าลงกับไหล่มนของหวังลู่ฉี ออดอ้อนเหมือนลูกแมวตัวเล็กที่กำลังคลอเคลีย สร้างความเอ็นดูให้มารดาอย่างยิ่ง

ในจังหวะนั้นเอง ตงฝู สาวใช้ประจำเรือนหลังเล็กเดินถือสำรับมื้อกลางวันเข้ามาในห้อง น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเต็มไปด้วยความห่อเหี่ยว “ฮูหยินเจ้าคะ วันนี้มีเพียงผักดองกับโจ๊กอีกแล้วเจ้าค่ะ”

หวังลู่ฉีเหลือบตามองสำรับอาหารบนถาด ซึ่งในแต่ละมื้อก็แทบไม่ต่างกันนัก นางไม่ได้แสดงสีหน้าตกใจหรือไม่พอใจ เพียงพยักหน้าเบา ๆ พลางเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ไม่เป็นไร ให้ลี่อิงมาหาข้าทีเถิด”

ด้วยความสงสัย ตงฝูเอียงคอเล็กน้อยก่อนถาม “ฮูหยินจะทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ?”

“ที่ดินด้านข้างของพวกเรายังว่างอยู่ เช่นนั้นก็ปลูกผัก เลี้ยงไก่ เลี้ยงเป็ดเถอะ” หวังลู่ฉีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น เริ่มวางแผนการใช้ชีวิตเสียใหม่ ถึงอนาคตจะเป็นอย่างไร หากขยันขันแข็งก็ย่อมไม่อดตาย

“ดีจริง ๆ เจ้าค่ะ!” เจียงอันเล่อ เด็กหญิงตัวน้อยปรบมือแปะ ๆ อย่างตื่นเต้น ใบหน้าสดใสขึ้นทันที “เจ้าพวกนั้นคงน่ารักมาก ข้าอยากเลี้ยงไก่ ปลูกผัก!” น้ำเสียงสดใสของนางดังขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ดวงหน้าเล็ก ๆ ที่เคยซีดเซียวกลับดูมีชีวิตชีวา

หวังลู่ฉีหัวเราะเบา ๆ ก่อนหยอกเย้าด้วยความเอ็นดู “เช่นนั้น พรุ่งนี้ก็เริ่มจากเล่อเอ๋อร์ก่อนดีหรือไม่?”

เด็กหญิงตัวเล็กทำหน้าตางุนงง ดวงตากลมแป๋วเบิกกว้างอย่างสงสัย “ให้ลูกทำอะไรหรือเจ้าคะ?”

หวังลู่ฉีมองดูลูกสาวด้วยรอยยิ้มอบอุ่น เอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็ก ๆ ของนางพลางตอบเสียงนุ่ม “พรวนดิน ปลูกผักน่ะสิ”

วันต่อมา อาการบาดเจ็บที่แผ่นหลังของหวังลู่ฉีทรุดลงอีกครั้ง บาดแผลปริแตกจนเกิดการอักเสบ ส่งผลให้นางล้มป่วยเป็นไข้หนัก “ท่านแม่ เจ็บมากหรือไม่เจ้าคะ” น้ำเสียงสั่นเครือของเจียงอันเล่อ เด็กหญิงตัวน้อยเอ่ยถามอย่างห่วงใย ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความกังวล

แม้คำพูดของนางยังฟังไม่ชัดเจนนัก ด้วยอายุเพียงสี่ขวบปี แต่ความพยายามในการดูแลมารดานั้นเกินวัย เด็กน้อยค่อย ๆ บิดผ้าด้วยแรงที่มีจนฝ่ามือเล็ก ๆ แดงก่ำ แล้วนำผ้าชุบน้ำอุ่นนั้นมาทาบลงบนหน้าผากของมารดาอย่างแผ่วเบา นางหวังเพียงให้ท่านแม่หายป่วยโดยเร็วที่สุด

หวังลู่ฉีระบายยิ้มอ่อน แม้จะนอนซมเพราะพิษไข้มาทั้งวัน แต่การมีบุตรสาวคอยเฝ้าดูแลไม่ห่าง ทำให้หัวใจของนางตื้นตันจนน้ำตารื้น ใบหน้าซีดเซียวเผยแววอ่อนโยน ดวงตาคู่สวยแดงเรื่อ นางนึกถึงความร้ายกาจของตนในอดีตอย่างละอายใจ

“เจ็บแค่นี้ แม่ทนได้” หวังลู่ฉีเอ่ยปลอบลูกสาวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า แต่ยังไม่ทันที่คำพูดจะจบดี เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังขึ้น ก่อนที่ประตูจะถูกผลักเปิดอย่างแรง เผยให้เห็นร่างของสามีที่ก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าถมึงทึง ดวงตาแข็งกร้าว

“จวนข้าเลี้ยงพวกเจ้าให้อดอยากหรือไร ถึงต้องไปหาเป็ดหาไก่มาเลี้ยงเยี่ยงนี้!” น้ำเสียงของเขากระชากก้องไปทั้งห้อง

เด็กหญิงตัวเล็กสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ ดวงตาสุกสกาวที่เคยเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวากลับหม่นหมองทันที ร่างน้อยสั่นระริกด้วยความหวาดผวา นางรีบปีนขึ้นเตียงมารดา ซุกตัวใต้ผ้าห่มหนา คลุมทั้งตัวอย่างมิดชิด

มือน้อย ๆ ยกขึ้นปิดหูของตนเองแน่น หลับตาปี๋ราวกับพยายามตัดขาดจากเสียงตะคอกอันน่ากลัวนั้น

“เห็นหน้าข้าก็กลัวขนาดนี้ ข้าดูเหมือนปีศาจนักหรือ!” ชายหนุ่มตวาดอีกครั้ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหงุดหงิด เขากวาดสายตามองบุตรสาวที่หลบซ่อนตัวด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะหันไปประชดมารดาของเด็กหญิง “หากไม่ใช่นางบอกกับข้าว่าพวกเจ้ากำลังสร้างเรือนเพาะปลูก ข้าก็ไม่คิดจะมาเหยียบที่นี่ให้เสียเวลา!”

น้ำคำของเขาเจือไปด้วยการประชดประชันไม่ต่างจากสตรีขี้อิจฉานางหนึ่ง

หวังลู่ฉีที่นอนซมอยู่ แค่นยิ้มเยาะในใจ ก่อนตอบกลับไปอย่างเรียบเย็น “หากท่านไม่อยากพบเห็นสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นก็ทำตามคำพูดของท่านเถิดเจ้าค่ะ”

คำพูดนั้นกระตุ้นให้ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อย ดวงตาของเขาแฝงแววลังเล ก่อนจะเอ่ยกลับมาด้วยน้ำเสียงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “ข้าพูดอะไรไว้หรือ?”

หวังลู่ฉีพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น ก่อนจะหันขวับไปมองสามีด้วยสายตาแข็งกร้าวที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ท่านบอกว่าจะหย่ากับข้า”
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel