บทที่ 6 โดนจับได้
สายลมพัดวูบมากระทบใบหน้าของฉู่ไจ๋ไจ๋ครั้งแล้วครั้งเล่า กว่าจะถึงจวนสกุลเซี่ยนั้นทำให้ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงแล้ว องค์ชายฉู่ฮ่าวตงพาฉู่ไจ๋ไจ๋แอบเข้าไปทางประตูท้ายจวนสกุลเซี่ย เขารอจนกระทั่งทหารลาดตระเวนเดินผ่านไปจึงดึงมือเล็กของฉู่ไจ๋ไจ๋ให้ออกมาจากพุ่มไม้ที่ใช้หลบซ่อนตัว
“ถึงแล้ว... ฮ่าๆๆ” เมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีแล้ว ร่างสูงจึงหมุนกายหันมาหาคนตัวเล็ก พลันไม่นานเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
ฉู่ไจ๋ไจ๋เอียงคอมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยความสงสัย องค์ชายฉู่ฮ่าวตงหัวเราะอะไรกันนะ ดูเอาเถิดน้ำหูน้ำตาไหลราวกับขบขันเสียเต็มประดา
“องค์ชายหัวเราะอะไรกัน” ฉู่ไจ๋ไจ๋ทำหน้ายู่อย่างงอนๆ เมื่อเห็นเขาหัวเราะไม่ยอมหยุดเสียที
“หน้าของเจ้าตลกยิ่งนัก” ชายหนุ่มพยายามกลั้นขำอย่างเต็มที่เมื่อเห็นแววตาขุ่นเคืองของฉู่ไจ๋ไจ๋ หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นจึงยกชายเสื้อขึ้นเช็ดหน้าของตนอย่างขอไปที
“ยังไม่หายเลอะเลย”
“ข้าไม่เช็ดแล้ว” หญิงสาวสะบัดหน้าหนีคนตัวโต ฉู่ฮ่าวตงส่ายหน้าเบาๆให้กับความขี้งอนของนาง จากนั้นเขาจึงหันมองซ้ายขวา ก่อนจะกวักมือเรียกนางให้เดินตามหลังเขาไป
“องค์ชายรู้ทางไปโรงเลี้ยงม้าจวนสกุลเซี่ยด้วยหรือ”
“ก็พอรู้มาบ้าง” ก่อนออกมาพบนางที่จวนสกุลฉู่ เขาได้เตรียมการทั้งหมดไว้แล้ว คนฉลาดอย่างเขาย่อมศึกษาเส้นทางเตรียมพร้อมไว้อย่างดิบดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ฉู่ฮ่าวตงพาฉู่ไจ๋ไจ๋วิ่งลัดเลาะไปตามต้นไม้ใหญ่เพื่อให้มันช่วยพลางสายตาจากผู้คน กระทั่งไปถึงโรงเลี้ยงม้าของจวนสกุลเซี่ย ที่นี่มีอาชาหลากสีหลายตัวถูกขังไว้ในคอกม้าที่กั้นไว้อย่างเป็นระเบียบ
“โน่นไง ม้าตัวนั้น”
ฉู่ไจ๋ไจ๋มองตามนิ้วใหญ่ของฉู่ฮ่าวตงที่ชี้ไปยังอาชาสีน้ำตาลที่ยืนอยู่ในคอกทางด้านในสุด บริเวณขาของมันถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาว ดูเหมือนว่ามันจะเจ็บหนักไม่น้อยเลยทีเดียว
“ไจ๋ไจ๋เข้าไปดูเถิด ข้าจะดูต้นทางให้” ชายหนุ่มเสนอตัว อาชาเจ้าปัญหาถูกขังไว้ในคอกทางด้านในสุด ที่ตรงนั้นไม่มีที่หลบจึงจำเป็นจะต้องมีคนดูต้นทางเอาไว้ หากมีคนมาจะได้ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายได้ทันกาล
ฉู่ไจ๋ไจ๋พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปทางด้านใน เหล่าอาชาตัวใหญ่ที่กำลังยืนแทะเล็มหญ้าอยู่นั้น เมื่อได้กลิ่นคนที่ไม่คุ้นเคยมันจึงพากันส่งเสียงร้องออกมาดังลั่น ทำให้ร่างบางสะดุ้งโหยงขึ้นด้วยความตกใจอย่างห้ามไม่อยู่ แต่กระนั้น หญิงสาวยังคงกัดฟันข่มความกลัวก้าวเดินต่อไปข้างหน้า กระทั่งเดินไปถึงที่อยู่ของอาชาเจ้าปัญหา นางจำได้ดีว่าเป็นตัวเดียวกันกับตัวเมื่อวานที่วิ่งเข้ามาชนรถม้าของนางไม่ผิดแน่
“เจ็บมากหรือไม่ ข้ารู้ว่าเจ้าคงไม่ได้ตั้งใจหรอกใช่ไหม” มือบางยื่นเข้าไปลูบบริเวณปลายจมูกของอาชาตัวใหญ่เบาๆ มันหลับตาลงอย่างเคลิบเคลิ้ม หากแต่ไม่นานเปลือกตาที่ปิดอยู่ในตอนแรกก็เปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับส่งเสียงร้องดังลั่น
“อ๊ะ!” ฉู่ไจ๋ไจ๋ผงะหงายหลังล้มลงด้วยความตกใจ ที่จู่ๆเจ้าม้าตัวใหญ่ก็เปล่งเสียงร้องโวยวาย มันยกฝ่าเท้าขึ้นราวกับต้องการที่จะพังคอกไม้ที่ขวางกั้นเอาไว้ออกมาเพื่อทำร้ายนาง ดวงตาของมันแข็งกร้าวแลดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก แตกต่างเมื่อครู่นี้ราวกับเป็นคนละตัวกันอย่างไรอย่างนั้นแหละ แววตาของมันเหมือนกับแววตาของเซี่ยตงหยางตอนที่สังหารนางในภพชาติเดิมไม่มีผิด!
“ไจ๋ไจ๋ เซี่ยตงหยางกำลังมาทางนี้ รีบหนีกันก่อนเถอะ!” ฉู่ฮ่าวตงตะโกนเรียกสหาย ฉู่ไจ๋ไจ๋พยักหน้ารับและรีบวิ่งสับฝีเท้าเพื่อกลับมาหาฉู่ฮ่าวตง
หากแต่ว่า
ฉั่บ!
“บ้าเอ๊ย!” ฉู่ฮ่าวตงสบถออกมาเสียงดัง เมื่อลูกธนูนับสิบลูกแล่นฉิวตรงมายังเขา
“ไจ๋ไจ๋รีบหลบไปก่อน!” เขาตะโกนบอกนางอีกหน จากนั้นจึงหมุนกายหลบคมธนูอย่างคล่องแคล่ว ทว่าธนูที่แล่นฉิวเข้ามานั้นไม่ต่างอะไรจากหยาดฝน ไม่มีทีท่าว่าจะหมดลงอย่างง่ายๆ กระทั่งคมแหลมของมันเฉียดผ่านใบหูของเขาไป และคนที่เป็นคนเล็งคมอาวุธเข้าหาเขา นั่นคือเซี่ยตงหยางนั่นเอง
ฉู่ฮ่าวตงทนไม่ไหวอีกต่อไป คิดว่าหากรั้งอยู่นานกว่านี้เขาต้องตายด้วยคมธนูของเซี่ยตงหยางอย่างแน่นอน ชายหนุ่มหันไปมองหน้าต่างที่อยู่ในคอกม้า จากนั้นจึงใช้วิชาตัวเบากระโดดหายออกไปทันที
“อ้าว! องค์ชาย! ไยถึงทิ้งข้าไว้ที่นี่คนเดียวเล่า” ฉู่ไจ๋ไจ๋อยากจะกรีดร้องออกมาดังๆด้วยความโมโห เมื่อเห็นฉู่ฮ่าวตงหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวเสียแล้ว หญิงสาวหันมองซ้ายทีขวาทีเพื่อหาทางรอด จากนั้นจึงวิ่งไปอีกทาง กระโดดเข้าไปหลบอยู่ในกองหญ้าที่คนดูแลม้านำมันมากองรวมกันไว้เพื่อรอนำไปเป็นอาหารให้เหล่าอาชา
“ให้ตามไปหรือไม่ขอรับคุณชายเซี่ย” หวงหยวนถามเจ้านายหนุ่ม
“ไม่ต้องตาม” เซี่ยตงหยางตอบเสียงเรียบ ดวงตาคู่คมเหลือบมองไปยังกองหญ้า ปากหยักแสยะยิ้มเหี้ยม จากนั้นจึงก้าวเดินเข้าไปในโรงเลี้ยงม้าอย่างรวดเร็ว
“ฟู่ววว เกือบไม่รอดเสียแล้ว” หลังจากหลบออกมาจากนอกรั้วของจวนสกุลเซี่ย ฉู่ฮ่าวตงแทบจะล้มทั้งยืน ยังคงรู้สึกใจหายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้อยู่เลย
เซี่ยตงหยางร้ายกาจยิ่งนัก เขาไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดด้วยถือว่าสกุลเซี่ยเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่เป็นรองแค่เพียงสกุลฉู่ของฮ่องเต้เท่านั้น เพราะความดีความชอบตั้งแต่บรรพบุรุษ หากไม่ได้สกุลเซี่ยช่วยวางแผนกลยุทธ์ทำศึกและร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ฉู่ฮ่องเต้กับแคว้นซ่ง คงได้เสียแผ่นดินแคว้นหูให้กับแคว้นซ่งไปแล้ว ทว่าเขาอยากรู้นักว่าถ้าหากเซี่ยตงหยางรู้ว่ากำลังเล็งปลายธนูมาหาโอรสของของฉู่หาวถงไท่จื่อจะยังกล้าอวดดีอยู่หรือไม่!
แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดที่จะกลับไปพิสูจน์ความภักดิ์ดีของเซี่ยตงหยางหรอก คนสกุลเซี่ยเอาแน่เอานอนไม่ได้ เขาไม่ยอมเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงอย่างแน่นอน
“ช่างเถิด ข้ารอดมาได้ก็ดีเท่าใดแล้ว” ฉู่ฮ่าวตงส่ายศีรษะไปมา จากนั้นจึงตั้งท่าจะใช้วิชาตัวเบาพาตัวเองกลับไปที่วังหลวง หากแต่จู่ๆเขาพลันต้องชะงักฝีเท้าลง ดวงตาสองข้างเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจอย่างมหันต์
“ฉิบหายแล้ว! ข้าลืมไจ๋ไจ๋ไว้ข้างในนั่น!” ชายหนุ่มตัวชาวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า คิดว่าตอนนี้ฉู่ไจ๋ไจ๋คงกำลังก่นด่าสาปแช่งเขาด้วยความคับแค้นใจอยู่เป็นแน่
ตอนนี้ฉู่ไจ๋ไจ๋รู้สึกคันยุบยิบไปทั้งตัว อีกทั้งยังรู้สึกคลื่นเหียนกับกลิ่นฉุนของใบหญ้าจนแทบจะอาเจียนออกมาอยู่รอมร่อ แต่กระนั้นนางยังพยายามอดทนเพื่อให้ผ่านพ้นช่วงเวลาอันตรายไปให้ได้
‘องค์ชายฉู่ฮ่าวตง หากข้ารอดไปได้ ท่านไม่รอดแน่!’ ฉู่ไจ๋ไจ๋คิดในใจด้วยความโมโห คนทั้งคนแต่เขากลับทอดทิ้งนางไปได้ ช่างขี้ขลาดตาขาวยิ่งนัก!
หญิงสาวอดทนนั่งคุดคู้อยู่ในกองหญ้า เสียงฝีเท้าและเสียงของคนกลุ่มใหญ่ได้หายไปแล้ว หญิงสาวคิดว่าบางทีพวกเขาอาจจะจากไปแล้วกระมัง แม้จะมองจากที่ไกลๆ แต่บุรุษร่างสูงที่แต่งกายด้วยชุดสีดำสนิทผู้นั้นช่างน่ากลัวยิ่งนัก และคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเซี่ยตงหยาง
หมั่บ!
“อ๊ะ!” ฉู่ไจ๋ไจ๋อุทานขึ้นมาเสียงด้วยความตกใจ เมื่อมือหนาของใครบางคนยื่นมาคว้ามือเล็กของนางเอาไว้ จากนั้นจึงออกแรงดึงเข้าหาตัว
หญิงสาวทำตาโตด้วยความตกใจ มองบุรุษนัยน์ตาดุดันตรงหน้าด้วยแววตาสั่นระริก ดวงตาสีนิลของเขากำลังทอดมองมายังนางนิ่ง
ใบหน้าหล่อเหลาคมสันบาดตาบาดใจ แววตาฉายแววแห่งความหยิ่งยโสออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน บุรุษผู้นี้หล่อเหลาไม่มีที่ติ ทว่ากลิ่นไอสังหารที่ออกมาจากกายหนา ทำให้ฉู่ไจ๋ไจ๋รู้สึกว่าเขาน่ากลัวเกินกว่าที่นางจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว
“เจอตัวผู้บุกรุกแล้ว” เสียงห้าวกล่าวขึ้น ซึ่งมันทำให้ฉู่ไจ๋ไจ๋นิ่วหน้าเข้าหากัน รู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับน้ำเสียงเช่นนี้ราวกับเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน ทว่าจำไม่ได้ว่าเคยได้ยินมาจากผู้ใด
“ข้าไม่ใช่ผู้บุกรุกนะ”
“เช่นนั้นเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร มีใครเทียบเชิญเจ้ามางั้นหรือ” ดวงตาคู่คมหรี่ลงเล็กน้อย มองดวงหน้างามที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเศษดินและเศษฝุ่นอย่างจับผิด อีกทั้งตามไรผมของนางยังเต็มไปด้วยเศษหญ้า มอมแมมราวกับลูกแมวน้อยคลุกฝุ่นก็มิปาน
“ข้าเพียงแค่หลงทางเข้ามา” ฉู่ไจ๋ไจ๋ครุ่นคิดถึงทางหนีทีรอด หากยอมรับว่าเป็นผู้บุกรุกจริงๆ เขาจะไม่ลงโทษนางอย่างนั้นหรือ
เซี่ยตงหยางเปล่งเสียงหึออกมาในลำคอ ก่อนจะปล่อยมือจากคนตัวเล็ก สตรีผู้นี้สูงเพียงแค่อกเขา รูปร่างบอบบางของนางดูไม่มีพิษมีภัยอะไร
“เช่นนั้นบอกข้ามาว่าเจ้าเป็นใคร เข้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน”
ฉู่ไจ๋ไจ๋อึกอัก ลำคอตีบตันจนพูดอะไรไม่ออก แต่มิวายสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เรียกกำลังใจของตัวเองให้กลับคืนมา ยามนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการเอาชีวิตน้อยๆให้รอดไปจากเงื้อมมือของเซี่ยตงหยาง
มือบางยื่นไปทางข้างหลังพลางหยิกไปบนขาของตนจนรู้สึกเจ็บจี๊ด หยดน้ำตาเอ่อคลอเคลือบอยู่ในหน่วยตา ก่อนที่มันจะค่อยๆไหลรินออกมาต่อหน้าต่อตาของคนหน้าดุ
“ข้ามาตามหาท่านพ่อที่เมืองหลวง ข้าได้ยินมาว่าท่านพ่อของข้าทำงานเป็นคนเลี้ยงม้าอยู่ที่จวนหนึ่ง หากแต่จำไม่ได้ว่าจวนใด ข้าร่อนเร่มาจนถึงที่นี่เห็นประตูจวนทางข้างหลังเปิดแง้มอยู่จึงเข้ามาโดยพลการ ขอคุณชายผู้สูงศักดิ์โปรดอภัยให้กับความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ” หญิงสาวยอบกายคารวะคนตรงหน้าอย่างนอบน้อม ก้มหน้าลงไม่กล้าสบสายตากับคนน่ากลัว เกรงว่าเขาจะจับได้ว่านางโกหก หากแต่เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งถ้วยชายังไม่มีถ้อยคำใดหลุดออกมาจากปากของเซี่ยตงหยางเลย นอกจากสายตามืดดำที่เขาใช้มองนางเท่านั้น
ฉู่ไจ๋ไจ๋จึงค่อยๆเงยหน้าขึ้น เมื่อนั้นเขาจึงเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ก่อนที่จะหยุดลง เอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ที่จวนสกุลเซี่ยของข้าไม่มีประตูหลังจวน!”
