บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 อุบัติเหตุรถม้า!

ฉู่ไจ๋ไจ๋วัดตัวเตรียมตัดชุดเสร็จ เมื่อเดินออกมาก็ไม่เห็นจูจูลี่กับสาวใช้แล้ว หญิงสาวคิดว่าสตรีผู้นั้นคงรู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อยเลยทีเดียวที่เห็นว่าทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนที่นางวางไว้ อันที่จริงจูจูลี่ไม่ใช่คนนิสัยดีเหมือนอย่างที่ทุกคนคิดหรอก แต่นางทำให้คนอื่นดูร้ายและแสร้งทำตัวเป็นคนดีเท่านั้น เพราะเคยเกิดมาแล้วหนหนึ่งทำให้ฉู่ไจ๋ไจ๋รู้ทันสตรีผู้นั้นหมดแล้ว คอยดูเถิด ภพชาตินี้จูจูลี่ไม่มีวันทำร้ายนางได้หรอก

เดิมทีตั้งใจว่าจะต่างคนต่างอยู่ ไม่เอาตัวไปยุ่งวุ่นวายกับรักสามสี่เศร้า ทว่าจูจูลี่กลับเป็นฝ่ายเข้ามาวุ่นวายกับนางเสียอย่างนั้น เห็นทีว่านับจากนี้ต้องระมัดระวังตัวเสียหน่อยแล้ว

ร่างบางก้าวเดินขึ้นรถม้าเพื่อเดินทางกลับไปยังจวนอ๋องสกุลฉู่ อดนึกถึงท่านแม่จวีลู่ม่านไม่ได้ ไม่รู้ว่าป่านนี้นางจะกลับจากวังหลวงแล้วหรือยัง เป็นเพราะในภพชาติเดิมหรือตามเนื้อหาในนิยาย ท่านแม่จวีลู่ม่านจากไปตั้งแต่ตอนที่คลอดนาง ทำให้ไม่มีเหตุการณ์เกี่ยวกับท่านแม่เกิดขึ้นเลย ฉู่ไจ๋ไจ๋จึงไม่อาจรู้ได้ว่าเปาฮองเฮาหรือเสด็จย่าของนางเชิญท่านแม่จวีลู่ม่านไปเข้าเฝ้าด้วยเหตุใด

รถม้าวิ่งออกมาจากร้านเทียนหมี่ตรงไปยังถนนเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังจวนอ๋องนอกเมือง บรรยากาศสองข้างทางเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ อีกทั้งยังมีแผงร้านค้าที่วางขายของหลากหลายน่าซื้อหา ไม่นานรถม้าคันใหญ่ก็ตรงมาถึงทางแยก คนบังคับม้าหยุดดูจนแน่ใจว่าไม่มีรถม้าคันอื่นแล่นสวนมา จากนั้นจึงมุ่งหน้าควบม้าไปยังถนนต่อ

ทว่ารถม้าที่กำลังวิ่งไปตามทางกลับต้องถูกบังคับให้หยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน ทันทีที่รถม้าหยุดลง มู่ตานจึงเปิดม่านผืนบางออก ชะโงกหน้าออกไปถามด้วยความสงสัย

“เกิดอะไรขึ้น”

“มีต้นไม้ล้มขวางทางอยู่ขอรับ” คนบังคับม้าหันมาตอบ ก่อนจะเดินลงไปยังต้นไม้ต้นใหญ่เพื่อนำมันออก ทว่าเขาทำเพียงคนเดียวไม่ได้ เพราะต้นไม้มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่เขาจะออกแรงยกไหว

องครักษ์ผู้ติดตามที่ฉู่เติ้งหาวสั่งให้เขาคอยอารักขาความปลอดภัยของฉู่ไจ๋ไจ๋จึงกระโดดลงจากหลังม้าเพื่อเดินเข้าไปช่วยลากต้นไม้ใหญ่ที่ขวางทางออกด้วยคน หากแต่เวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ รถม้าก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้เคลื่อนออกไปเสียที

“มู่ตานลงไปดูพวกเขาหน่อยเถิด” ฉู่ไจ๋ไจ๋บอกมู่ตาน นางรับคำและเปิดประตูรถม้าลงไปดู ทำให้ตอนนี้มีเพียงฉู่ไจ๋ไจ๋ที่นั่งอยู่บนรถม้าตามลำพัง

ทว่าในตอนนั้นเอง เสียงร้องของอาชาตัวใหญ่ดังลั่นไปทั่วบริเวณ เผยให้เห็นรถม้าคันใหญ่กำลังวิ่งตรงมาทางที่รถม้าของสกุลฉู่จอดอยู่ รถม้าคันนั้นไร้คนควบคุม มันวิ่งตรงเข้ามาหารถม้าของฉู่ไจ๋ไจ๋อย่างรวดเร็วทำท่าจะวิ่งชนอย่างน่าหวาดเสียว ทว่าก่อนที่มันจะมาถึงรถม้าของจวนสกุลฉู่ มันกลับหมุนกายหักเลี้ยวไปอีกทาง เป็นผลให้รถม้าที่มันลากจูงมาเอนมาทางรถม้าที่ฉู่ไจ๋ไจ๋นั่งอยู่

โครม!

“กรี๊ดดดดด! ท่านหญิงไจ๋ไจ๋” มู่ตานกรีดร้องดังลั่นด้วยความตกใจ เมื่อเห็นรถม้าชนกันอย่างแรง แรงกระแทกทำให้ประตูรถม้าเปิดออก ฉู่ไจ๋ไจ๋รับรู้ได้ว่ายามนี้ร่างของนางกำลังลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ องครักษ์ผู้ติดตามเห็นเช่นนั้นจึงรีบพุ่งเข้ามาหมายจะเข้าไปรับตัวของเจ้านายสาวเอาไว้ ทว่าเขาและนางอยู่ห่างจากกันพอสมควร แม้จะสับฝีเท้าวิ่งด้วยความรวดเร็วพร้อมกับใช้วิชาตัวเบากระโดดเข้าไปหา แต่กระนั้นก็ยังไม่ถึงตัวของนางอยู่ดี

แต่ก่อนที่ร่างบางจะตกลงกระแทกพื้นดิน หญิงสาวปิดเปลือกตาลง ในใจนึกถึงใบหน้าของท่านพ่อฉู่เติ้งหาวและท่านแม่จวีลู่ม่าน ไม่รู้ว่านางจะรอดชีวิตได้กลับไปหาพวกท่านทั้งสองคนหรือไม่

หรือนี่คือจุดจบของนางร้าย แม้ไม่ตายด้วยฝีมือของตัวร้าย แต่ก็ต้องตายด้วยเหตุอื่นอยู่ดี?

‘ไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ ข้าไม่ได้อยากตายเสียหน่อย ยังอยากอยู่กับท่านพ่อกับท่านแม่ไปอีกนานๆ’ ฉู่ไจ๋ไจ๋ตัดพ้อต่อโชคชะตาในใจ หยาดน้ำตาไหลรินออกมาจนเกลื่อนใบหน้า

“จะร้องไห้อีกนานหรือไม่”

‘เสียงผู้ใดกัน?’ หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ในใจ แต่กระนั้นก็ไม่ยอมลืมตาขึ้นมา

“ข้าตายหรือยังนะ” พึมพำขึ้นมาเบาๆ ทำให้คนที่ได้ยินถึงกับพ่นลมหายใจออกมาแรงๆหนหนึ่งบ่งบอกถึงความหงุดหงิด

“อยากตายหรือไม่เล่า หากอยากตายข้าจะได้ทิ้งเจ้าลงไปข้างล่างนั่น” เสียงแหบห้าวถามขึ้น วาจาของเขาทำให้เปลือกตาบางที่ปิดอยู่เปิดขึ้นทันที

“กรี๊ดดด! ข้ากลัวความสูง” มือบางเอื้อมไปกอดคอของคนตัวโตเอาไว้ด้วยความรวดเร็วอย่างลืมตัว เมื่อเห็นว่ายามนี้ตนกำลังอยู่บนยอดไม้สูง

กลิ่นกายหอมหวานจางๆรวยรินลอยเข้าไปแตะจมูกโด่งเป็นสันคมในยามที่นางขยับตัว ทรวงอกนุ่มนิ่มแนบชิดไปกับแผงอกแกร่งอย่างไม่รู้ตัว

“เจ้ากำลังยั่วยวนข้า” เสียงพร่าสั่นไหวแม้จะพยายามควบคุมให้มันเป็นปกติแล้วก็ตาม

“หืม? ว้าย!” ฉู่ไจ๋ไจ๋เงยหน้าขึ้นเห็นดวงตาคู่คมของบุรุษผู้หนึ่งกำลังจ้องเขม็งมายังนาง มือบางรีบปล่อยออกจากลำคอแกร่งอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนมากำเสื้อสีดำสนิทของเขาเอาไว้แทน

“ท่านเป็นผู้ใดกัน ไยต้องแต่งตัวลึกลับเช่นนี้ด้วยเล่า” หรือว่าจะเป็นโจรป่า ประโยคสุดท้าย หญิงสาวคิดในใจไม่กล้าพูดออกมาให้เขาได้ยิน แม้จะมั่นใจว่าเขาต้องเป็นอย่างที่นางคิดไม่ผิดแน่ หาไม่คงไม่มีผ้าปิดบังใบหน้าจนเหลือเพียงแค่ดวงตาเช่นนี้หรอก

“เจ้าอยากรู้จักข้าหรือ” มุมปากหยักกระตุกขึ้นเบาๆ จดจ้องคนในอ้อมแขนอย่างไม่วางตา นางเป็นสตรีที่งดงามมาก ไหนจะริมฝีปากจิ้มลิ้มบอบบางราวกับดอกเหมยกุ้ยนั่นอีกเล่า

ฉู่ไจ๋ไจ๋เห็นดวงตาของเขากำลังจับจ้องมายังริมฝีปากของนางจึงรีบเม้มปากบางเข้าหากัน เมื่อนั้นชายหนุ่มจึงถอนสายตาออก หากแต่คนทั้งสองยังไม่ทันได้กล่าววาจาใดออกมา เสียงองครักษ์ผู้ติดตามของฉู่ไจ๋ไจ๋พลันดังขึ้นเสียก่อน

“ปล่อยท่านหญิงฉู่ไจ๋ไจ๋เดี๋ยวนี้!” เขาตะโกนขึ้นมาเสียงดัง มือหนาคว้ากระบี่พร้อมกับใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นมายังยอดไม้ ทั้งฉู่ไจ๋ไจ๋และชายชุดดำหันมาสบตากันอย่างไม่ได้นัดหมาย แต่เมื่อเห็นดวงตาคมกริบของเขา นางจึงรีบส่ายศีรษะไปมาระรัว

“ไม่ ไม่นะ” พูดยังไม่ทันขาดคำ ร่างบางก็ถูกโยนลงมาจากยอดไม้พร้อมกับชายชุดดำที่พุ่งตัวจากไปด้วยความรวดเร็ว

ฉู่ไจ๋ไจ๋หลับหูหลับตากรีดร้องเสียงดังด้วยความหวาดกลัวจนแทบจะขาดใจ

หมั่บ!

“ท่านหญิงไจ๋ไจ๋ปลอดภัยแล้วขอรับ” ร่างบางตกลงสู่อ้อมแขนของสื่อเสียงพอดีราวกับจับวาง ก่อนที่เขาจะวางนางลงบนพื้น หากแต่ว่าฉู่ไจ๋ไจ๋ยังคงตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่หายทำให้นางทรงตัวไม่อยู่ แข้งขาสั่นระริกไปมาราวกับโดนเขย่า มู่ตานจึงรีบปรี่เข้ามาประคองเจ้านายไว้อย่างรวดเร็ว

“มู่ตาน โจรชั่วนั่นมันโยนข้าลงมาจากต้นไม้ต้นนั้น” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองยอดไม้ที่สูงราวอาคารไม้เจ็ดชั้นอย่างอึ้งๆ

“ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ ท่านหญิงปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ” มู่ตานใช้มือลูบแผ่นหลังบางไปมาเบาๆอย่างปลอบประโลม นึกสงสารท่านหญิงฉู่ไจ๋ไจ๋ไม่น้อย นางคงตกใจมากสินะ

กุบกับ! กุบกับ!

เสียงเกือกม้าดังกระทบพื้นทำให้ฉู่ไจ๋ไจ๋สะดุ้งโหยงขึ้นหลุดจากภวังค์ความคิดเมื่อครู่นี้ เบื้องหน้าปรากฏอาชาตัวใหญ่สีขาวสองตัวกำลังวิ่งตรงมายังนาง ก่อนที่มันจะหยุดลงพร้อมกับร่างสูงของบุรุษผู้หนึ่งกระโดดลงจากหลังม้า มุ่งหน้าเดินตรงเข้ามาหาด้วยความรวดเร็ว

“เกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงนุ่มทุ้มกล่าวถามพลางหันไปมองรถม้าที่ล้มอยู่บนพื้นทั้งสองคัน อาชาทั้งสองตัวต่างบาดเจ็บ หากแต่ว่ายังดีที่พวกมันยังมีชีวิตอยู่

ใบหน้าหล่อเหลาราวกับภาพวาดของบุรุษผู้นี้ ฉู่ไจ๋ไจ๋จำได้เป็นอย่างดีว่าเขาคือผู้ใด

“รถม้าคันนั้นเป็นของผู้ใดก็ไม่ทราบ คิดว่าคงเป็นเพราะม้าพยศจึงวิ่งเข้ามาชนรถม้าของท่านหญิงฉู่ไจ๋ไจ๋ขอรับ” สื่อเสียงเป็นคนตอบคำถามแทน เมื่อเห็นว่าท่านหญิงฉู่ไจ๋ไจ๋ยังคงมีอาการตกใจไม่หาย

“ท่านหญิงฉู่ไจ๋ไจ๋งั้นหรือ” หวงจื่อเฉาเปรยขึ้นมาเบาๆ จับจ้องดวงหน้างามอย่างไม่วางตา เป็นเวลากว่าสิบปีแล้วที่เขาไม่ได้เจอนาง หากแต่ยังคงจดจำเด็กน้อยคนหนึ่งได้เป็นอย่างดี ตอนพบกันครั้งแรกนางยังอายุราวห้าหกหนาวอยู่เลย

“ข้าไม่เป็นอะไร มู่ตานข้าอยากกลับจวน”

“เช่นนั้นให้ข้าไปส่งเถิด” หวงจื่อเฉารีบเสนอตัว ทว่าฉู่ไจ๋ไจ๋กลับปรายตามองเขาเพียงแว้บหนึ่ง นางไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับหวงจื่อเฉาและจูจูลี่ จึงเอ่ยปากปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิด

“ข้าไม่รบกวนคุณชายหวงหรอก”

“ท่านหญิงทราบได้อย่างไรว่าข้ามาจากสกุลหวง”

คำถามของเขาทำให้นางชะงักไปเพียงครู่หนึ่ง แต่กระนั้นก็มุ่งหน้าสาวเท้าเดินไปข้างหน้าต่อ หวงจื่อเฉาอมยิ้มให้กับความดื้อรั้นของนาง

“แล้วนี่ท่านหญิงจะเดินกลับจวนหรือ อีกไกลนะขอรับ”

“…” ฉู่ไจ๋ไจ๋ไม่ตอบคำถาม แต่กลับเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ทว่าเดินไปได้ไม่นานก็ต้องหยุดฝีเท้าลงอีกหน เมื่อรู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมา พลันไม่นานร่างบางก็ซวนเซทำท่าจะล้มลงพร้อมกับสติที่หลุดลอยไปของฉู่ไจ๋ไจ๋

“ท่านหญิงไจ๋ไจ๋!” หวงจื่อเฉาผวาเข้าไปรับร่างเล็ก เมื่อเห็นนางหมดสติไปแล้ว เขาจึงอุ้มนางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน

“คุณชายหวงเจ้าคะ ส่งท่านหญิงให้สื่อเสียงเถิดเจ้าค่ะ” สีหน้าของมู่ตานไม่ค่อยดีนักที่เห็นหวงจื่อเฉาอุ้มร่างบอบบางของเจ้านายสาว อย่างไรเสียหวงจื่อเฉาก็เป็นแค่คนนอก แต่สื่อเสียงเป็นองครักษ์ของฉู่ไจ๋ไจ๋ อีกทั้งยังได้รับอนุญาตให้สามารถแตะต้องนางได้หากมีความจำเป็น

“ท่านหญิงไจ๋ไจ๋หมดสติไปแล้ว ข้าจะรีบพานางกลับจวนสกุลฉู่ สื่อเสียงเจ้าจงไปตามท่านหมอมาดูอาการท่านหญิง จ้าวปินพาสาวใช้ของท่านหญิงกลับไปด้วย” หวงจื่อเฉาไม่ฟังวาจาของมู่ตาน หลังจากสั่งการเสร็จสรรพ เขาจึงพาฉู่ไจ๋ไจ๋ที่หมดสติขึ้นหลังม้าพลางควบขี่มันออกไปในทันที จุดหมายปลายทางคือจวนอ๋องนอกเมือง เขาจะต้องรีบไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุด

“ท่านหญิงไจ๋ไจ๋อย่าเป็นอะไรไปนะ” ชายหนุ่มพึมพำกับร่างไร้สติที่ซวนซบอยู่บนอกแกร่งด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel