บทที่ 2 นางร้ายไม่ใช่เหยื่อของนางเอก
ฉู่ไจ๋ไจ๋ผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของคนเป็นแม่ แม้ยามนี้จะอายุถึงสิบหกหนาวแล้ว แต่กระนั้นในสายตาของจวีลู่ม่าน นางยังคงเป็นเด็กน้อยของพ่อแม่เสมอ กระทั่งรู้สึกตัวตื่นอีกทีจึงพบว่าเวลานี้ได้ล่วงเลยไปจนถึงยามซื่อ (09.00 - 10.59 น.) แล้ว
ร่างบางเดินออกมาจากหอนอนตรงไปยังห้องอาหาร แลเห็นครอบครัวนั่งอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา เมื่อนั้นริมฝีปากแต้มชาดสีชมพูอ่อนจึงค่อยๆแย้มออกจากกัน
“ท่านพ่อกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” หญิงสาววิ่งเข้าไปหาผู้เป็นพ่อพลางแนบริมฝีปากลงบนแก้มสากทั้งสองข้าง เป็นผลให้ฉู่เติ้งหาวยิ้มกว้าง มือหนาวางลงบนศีรษะเล็กพร้อมลูบไปมาเบาๆด้วยความเอ็นดู
“ยังไงพ่อก็ต้องรีบกลับมา เพราะรู้ว่าไจ๋ไจ๋กับหาวหาวรอกินข้าวกับพ่ออยู่” ท้ายประโยคเขาหันไปสบตากับฉู่ตี้หาว บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนในวัยสิบเอ็ดหนาว วาจาของเขาทำให้จวีลู่ม่านหรี่ตาลงเล็กน้อยมองสามีอย่างรู้ทัน
“ท่านพี่รีบกลับมาเพราะจะพาหาวหาวไปฝึกซ้อมวิทยายุทธล่ะสิไม่ว่า” จวีลู่ม่านส่ายศีรษะไปมาน้อยๆ รู้สึกเอือมระอาสามียิ่งนัก ฉู่ตี้หาวอายุเพียงแค่สิบเอ็ดหนาว แต่กลับโดนคนเป็นพ่อเคี่ยวกรำให้ฝึกฝนวิทยายุทธ ไม่สิ… ต้องบอกว่า เจ้าก้อนฉู่ตี้หาวเองก็ดูจะชื่นชอบที่ได้ฝึกวิทยายุทธกับผู้เป็นพ่อไม่น้อย จนถึงเปรยออกมาว่าโตขึ้นอยากเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจเยี่ยงท่านพ่อฉู่เติ้งหาวของเขา
“ม่านเอ๋อร์ของข้าฉลาดยิ่งนัก” คนตัวโตยื่นหน้าเข้าไปใกล้หมายจะแนบริมฝีปากลงบนพวงแก้มนุ่มของภรรยา หากแต่กลับโดนจวีลู่ม่านใช้มือตีลงไปบนท่อนแขนกำยำของเขาเสียก่อน
“ท่านพี่ต่อหน้าลูกนะเจ้าคะ” ดวงตาคู่งามเหลือบมองทายาททั้งสองคนที่กำลังนั่งมองนางกับฉู่เติ้งหาวตาแป๋วด้วยความเขินอาย
“ท่านแม่ไม่ต้องเขินหรอกขอรับ ข้าแอบเห็นท่านพ่อกับท่านแม่หอมกันอยู่บ่อยๆจนชินแล้ว” ฉู่ตี้หาวกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ทำให้แก้มขาวของจวีลู่ม่านเปล่งสีแดงระเรื่อยิ่งกว่าเดิม เสียงหัวเราะดังขึ้นภายในห้องอาหาร ทำให้สาวใช้ต่างหันมาสบตากันรู้สึกมีความสุขไปด้วย
หลังจากที่ฉู่เติ้งหาวพาฉู่ตี้หาวออกไปฝึกฝนวิทยายุทธ จวีลู่ม่านกับฉู่ไจ๋ไจ๋จึงตั้งใจจะเดินทางไปวัดตัวตัดชุดเตรียมไปงานฉลองพระราชสมภพของฉู่ฮ่องเต้ที่กำลังจะจัดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าที่ร้านเทียนหมี่ ทว่ายังไม่ทันจะได้ก้าวขาขึ้นรถม้า ทหารรักษาประตูจวนก็เดินลิ่วเข้ามาหาเสียก่อน
“ทูลพระชายา เปาเสี่ยวจิงฮองเฮาส่งรถม้ามาเชิญพระชายาให้เสด็จไปเข้าเฝ้าที่วังหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
คิ้วเรียวสวยย่นเข้าหากันในทันที ฉู่ไจ๋ไจ๋เองรู้สึกแปลกใจไม่แพ้กัน หญิงสาวเอียงคอถามด้วยความสงสัย
เปาเสี่ยวจิงฮองเฮาคือพระมารดาของฉู่เติ้งหาวอ๋อง เดิมทีจวีลู่ม่านมักจะไปเยือนนางที่ตำหนักเหมียนหรงบ่อยๆอยู่แล้ว หากแต่วันนี้เปาฮองเฮาถึงกับส่งรถม้ามาเทียบเชิญนางเช่นนี้ต้องมีเรื่องสำคัญเป็นแน่
“จู่ๆเสด็จย่าส่งคนมาเชิญท่านแม่ไปเข้าเฝ้าเพราะเหตุใดกัน”
“แม่ก็ไม่แน่ใจ แม่คงต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จย่าก่อน ไจ๋ไจ๋ไปวัดตัวตัดชุดคนเดียวได้ไหมลูก”
“ได้เจ้าค่ะ” ฉู่ไจ๋ไจ๋ส่งยิ้มให้คนเป็นแม่เมื่อเห็นสายตาที่ทอดมองมาด้วยความห่วงใยของนาง ท่านแม่คงลืมไปกระมังว่านางโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หาใช่เด็กน้อยตัวจ้อยอย่างในวันวาน
จวีลู่ม่านพยักหน้ารับ จากนั้นจึงเดินไปขึ้นรถม้าที่ส่งมาจากวังหลวงเพื่อให้มารับตัวนางโดยเฉพาะ หลังจากที่จวีลู่ม่านจากไปไม่นาน รถม้าของจวนสกุลฉู่ที่มีฉู่ไจ๋ไจ๋นั่งอยู่ข้างในก็วิ่งออกไปจากประตูจวนเช่นกัน
ร้านตัดผ้าเทียนหมี่ เป็นร้านที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในบรรดาผู้มีอันจะกินในเมืองหลวง ด้วยเจ้าของร้านมีฝีมือการตัดชุดที่ไม่ธรรมดา อีกทั้งยังมีผ้าผืนงามที่นำเข้ามาจากพวกเปอร์เซียและอาหรับที่งดงามและมีลวดลายที่แตกต่างจากผ้าในแคว้นหู แม้ที่นี่จะคิดค่าบริการแพงหูฉี่ แต่ก็มีลูกค้าหลั่งไหลเข้ามาใช้บริการอย่างไม่ขาดสาย
และดูเหมือนว่าวันนี้ที่ร้านเทียนหมี่จะมีลูกค้าหนาตาเป็นพิเศษ คงเพราะใกล้วันฉลองพระราชสมภพของฉู่ฮ่องเต้ ทำให้บรรดาคุณหนูแต่ละตระกูลรีบออกมาวัดตัวตัดชุดใหม่กัน
ฉู่ไจ๋ไจ๋ก้าวเดินเข้าไปในร้านพร้อมกับมู่ตาน เจ้าของร้านเห็นลูกค้าประจำรายใหญ่จึงรีบกุลีกุจอมาต้อนรับอย่างเป็นพิเศษ
“ท่านหญิงไจ๋ไจ๋แวะเวียนมาที่ร้านเทียนหมี่ มีอะไรให้ซูเม่ยรับใช้หรือเจ้าคะ”
“ข้าต้องการเลือกผ้าวัดตัวตัดชุดเพื่อใส่ไปงานเลี้ยงฉลองวันพระราชสมภพของฉู่ฮ่องเต้” หญิงสาวแจ้งความจำนงต่อเจ้าของร้าน เมื่อนั้นซูเม่ยจึงรีบพานางไปดูผ้าผืนใหม่ที่เพิ่งเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงร้านเมื่อเช้าอย่างหมาดๆ ฉู่ไจ๋ไจ๋มองผ้างามด้วยความพึงพอใจและตัดสินใจเลือกผ้าผืนนี้ในทันที
“ท่านหญิงรอสักครู่นะเจ้าคะ ซูเม่ยจะให้คนมาวัดตัวให้”
ฉู่ไจ๋ไจ๋ขานรับเสียงเบา จากนั้นจึงหันมาชมผ้าผืนงามที่แขวนอยู่ในร้านไปพลาง หากแต่ว่า…
ผลั่ก!
“โอ๊ย!” เสียงอุทานร้องลั่นด้วยความเจ็บดังขึ้น ร่างเล็กของใครบางคนหงายหลังล้มตึงลงไปนอนคุดคู้อยู่บนพื้น ท่ามกลางความตกใจของทุกคนในร้าน
ฉู่ไจ๋ไจ๋นิ่งไปทันที หวนคิดถึงเหตุการณ์ในภพชาติเดิม ซึ่งเหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน บ่าวผู้นี้เป็นบ่าวรับใช้ของจวนสกุลจู และเป็นคนเดินมาชนนางก่อนราวกับตั้งใจ จากนั้นจึงแสร้งทำเป็นร้องโอดโอยครวญครางราวกับเจ็บปวดเสียเต็มประดา ในภพเดิม ฉู่ไจ๋ไจ๋รู้สึกโมโหไม่น้อย ด้วยรู้ว่าสตรีผู้นี้ตั้งใจเดินชนนางจึงกระชากผมของคนที่นอนอยู่บนพื้นขึ้นมาตบสั่งสอน!
ผู้คนในร้านต่างมุงดูเหตุการณ์ด้วยความตกใจ อีกทั้งยังซุบซิบนินทาหาว่านางกระทำเกินควร ไม่มีผู้ใดรู้ว่าแท้จริงแล้ว บ่าวสกุลจูเป็นคนเดินเข้ามาแสร้งหาเรื่องนางก่อน และคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นนางเอกจูจูลี่ นางน่ะร้ายลึกยิ่งกว่าฉู่ไจ๋ไจ๋ที่ร้ายแบบแสดงออกเสียอีก!
ทว่าในภพชาตินี้ ฉู่ไจ๋ไจ๋จะไม่ยอมตกเป็นเหยื่อของจูจูลี่และให้ผู้คนนินทาได้หรอก
“เป็นอะไรหรือไม่” ฉู่ไจ๋ไจ๋หย่อนกายลงนั่ง ประคองร่างบางของสาวใช้สกุลจูให้ลุกขึ้นมา แววตาของเมิ่งเกาบ่งบอกถึงความสับสนเล็กน้อย เหตุใดไม่เหมือนกับที่คุณหนูจูจูลี่บอกไว้ในตอนแรกเล่า นางอุตส่าห์เตรียมเกร็งหน้าให้ท่านหญิงฉู่ไจ๋ไจ๋ลงมือตบตีแล้ว แต่กระนั้นก็ยอมลุกขึ้นยืนตามการโอบประคองของฉู่ไจ๋ไจ๋
“บ่าวเจ็บแขนเจ้าค่ะ” เมิ่งเกาเอ่ยเสียงสั่น ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตาของฉู่ไจ๋ไจ๋ ราวกับหวาดกลัวเสียเต็มประดา
“ที่นี่มีโรงหมออยู่ใกล้ๆ ข้าจะพาเจ้าไปหาท่านหมอให้ตรวจดูเสียหน่อยว่าได้รับบาดเจ็บอะไรหรือไม่” น้ำเสียงของฉู่ไจ๋ไจ๋เต็มไปด้วยความอาทร บรรดาผู้คนที่มองอยู่จึงถอนสายตาออกจากเหตุการณ์ตรงหน้า เมื่อไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งให้ต้องลุ้นตามแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ เมิ่งเกาเป็นบ่าวของข้า ข้าดูแลเองได้” จูจูลี่ที่ยืนหลบอยู่มุมหนึ่งเพื่อรอดูเหตุการณ์ถึงกับส่ายหน้าไปมาด้วยความผิดหวังที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน แต่เมื่อได้ยินวาจาที่ฉู่ไจ๋ไจ๋พูดและเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของสาวใช้ นางจึงรีบปรากฏตัว เพราะกลัวเมิ่งเกาจะทำความลับแตกเสียก่อน
“อ้อ ที่แท้นางก็เป็นสาวใช้ที่จวนสกุลจูเองหรอกหรือ” ฉู่ไจ๋ไจ๋แสร้งถามด้วยใบหน้าใสซื่อ ท่าทีของนางทำให้คนมองไม่พอใจเป็นอย่างมาก ทว่าจำต้องข่มอารมณ์โกรธเอาไว้ และแสร้งทำตัวเป็นคนดีต่อไป
“ใช่เจ้าค่ะ ท่านหญิงโปรดอย่าได้ถือสาที่สาวใช้ของข้าไม่รอบคอบ เดินชนท่านหญิงเยี่ยงนี้”
“นั่นสิเจ้าคะ ท่านหญิงไจ๋ไจ๋ยืนอยู่ดีๆแท้ๆ ทว่าเมิ่งเกากลับเดินมาชนเสียได้ หนำซ้ำยังเป็นฝ่ายล้มลงไปราวกับชนแรงเสียเต็มประดา” มู่ตานเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ นางยืนอยู่ข้างท่านหญิงไจ๋ไจ๋ย่อมเห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้น แปดในสิบส่วนมั่นใจเป็นอย่างมากว่าเมิ่งเกาจงใจเดินชนเพื่อหาเรื่องท่านหญิงน้อยของนาง
“ปะ เปล่านะเจ้าคะ ขะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ” เมิ่งเกาปฏิเสธเสียงสั่น มือบางสั่นระริกไม่ต่างจากริมฝีปากจนต้องบีบมือเข้าหากัน ก่อนจะหันไปสบตากับจูจูลี่เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อเห็นเจ้านายขึงตาใส่ นางจึงรีบก้มหน้าหลบสายตาลงเช่นเดิม
ท่าทางของเมิ่งเกาอยู่ในสายตาของฉู่ไจ๋ไจ๋โดยตลอด ยิ่งเห็นเช่นนี้แล้วยิ่งมั่นใจว่าจูจูลี่นั่นแหละที่สั่งให้สาวใช้มากลั่นแกล้งนาง
“ไม่เอาสิมู่ตาน นางไม่ได้ตั้งใจหรอก นางเป็นเพียงสาวใช้ตัวเล็กๆ หากจะกล้าทำเช่นนั้นได้คงเพราะมีใครสั่งนางมากระมัง”
“ท่านหญิงคงไม่ได้คิดว่าข้าเป็นคนสั่งเมิ่งเกาใช่หรือไม่เจ้าคะ” จูจูลี่ถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หากแต่แววตากลับสั่นไหวด้วยกลัวความผิดที่กลั่นแกล้งท่านหญิงฉู่ไจ๋ไจ๋
“แล้วคุณหนูจูจูลี่ได้ทำเช่นนั้นหรือไม่เล่า” ฉู่ไจ๋ไจ๋ไม่ตอบคำถาม แต่เป็นฝ่ายย้อนถามนางคืน
“เปล่าเจ้าค่ะ” จูจูลี่ปฏิเสธเสียงแข็ง ดวงหน้างามยังคงแย้มยิ้มเช่นเดิม
“นั่นสินะ ข้าคิดว่าคนสกุลจูอบรมสั่งสอนบุตรสาวมาเป็นอย่างดี คุณหนูจูจูลี่คงไม่ใช่คนร้ายกาจเช่นนั้นหรอก” ฉู่ไจ๋ไจ๋แย้มริมฝีปากให้นางบางๆ พลันซูเม่ยก็เดินเข้ามาเชิญฉู่ไจ๋ไจ๋ให้ไปวัดตัวตัดชุด หญิงสาวจึงก้าวเดินจากไปพร้อมกับมู่ตาน ปล่อยให้จูจูลี่มองตามด้วยความเจ็บใจ อุตส่าห์วางแผนทำให้ฉู่ไจ๋ไจ๋เผยความร้ายกาจออกมาต่อหน้าผู้คน แต่กลายเป็นผิดแผนไปเสียได้ อีกทั้งฉู่ไจ๋ไจ๋ยังทำเหมือนรู้ว่านางเป็นคนอยู่เบื้องหลังแผนการกลั่นแกล้งในครั้งนี้เสียด้วยสิ หากฉู่ไจ๋ไจ๋นำเรื่องที่เกิดขึ้นไปฟ้องฉู่เติ้งหาวอ๋อง ครอบครัวสกุลจูของนางคงต้องเดือดร้อนเป็นแน่! จูจูลี่ครุ่นคิดด้วยความกังวลใจ
