ตอนที่ 8 เสแสร้ง
ตอนที่ 8 เสแสร้ง
วันต่อมา แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง เยี่ยเฟยหลิงลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ความเจ็บปวดจากบาดแผลบนแผ่นหลังยังคงอยู่ แต่ไม่รุนแรงเท่าเมื่อวาน
นางพยายามลุกขึ้นนั่ง แต่ทุกการเคลื่อนไหวนำมาซึ่งความเจ็บปวด นางกัดริมฝีปากเพื่อกลั้นเสียงครางออกมา
หลิวอี้เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารเล็กๆ “เจ้าตื่นแล้วหรือ? ข้านำอาหารเช้ามาให้เจ้า”
เยี่ยเฟยหลิงยิ้มอ่อน “ขอบใจเจ้ามาก”
หลิวอี้วางถาดอาหารลงข้างเตียง แล้วช่วยพยุงเยี่ยเฟยหลิงให้ลุกขึ้นนั่ง “เจ้ารู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่?”
“ดีขึ้นเล็กน้อย” เยี่ยเฟยหลิงตอบ
หลิวอี้พยักหน้า “ข้าต้องไปทำหน้าที่แล้ว แต่ข้าจะกลับมาดูอาการเจ้าในช่วงพักเที่ยง”
“ไม่ต้องห่วงข้า เจ้าไปทำงานของเจ้าเถิด”
หลังจากหลิวอี้ออกไปแล้ว เยี่ยเฟยหลิงค่อยๆ รับประทานอาหารเช้าอย่างช้าๆ ความคิดของนางยังคงวนเวียนอยู่กับแผนการที่จะรับมือกับองค์ชายสิบสาม
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงฝีเท้าเบาๆ ก็ดังมาจากด้านนอก ตามด้วยเสียงกระซิบกระซาบของนางกำนัล เยี่ยเฟยหลิงรู้ทันทีว่าใครกำลังมา
ประตูถูกเคาะเบาๆ ตามด้วยเสียงนางกำนัลอาวุโส “เยี่ยเฟยหลิง องค์ชายสิบสามมาเยี่ยมเจ้า”
เยี่ยเฟยหลิงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่นางต้องแสดงให้สมบทบาท “เข้ามาได้เจ้าค่ะ”
ประตูเปิดออก และร่างสูงสง่าของหลี่เฉิงเหวินก็ก้าวเข้ามาในห้อง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาแสดงความเป็นห่วงอย่างจริงใจ หรืออย่างน้อยก็ดูเหมือนจริงใจ
“ข้าได้ยินว่าเจ้าถูกลงโทษ” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม ดวงตาคมมองมาที่เยี่ยเฟยหลิงด้วยความเห็นอกเห็นใจ “เป็นเพราะข้าเจ้าจึงต้องมารับโทษเช่นนี้”
เยี่ยเฟยหลิงก้มหน้าลง แสร้งทำเป็นเขินอาย “องค์ชายไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดเพคะ เป็นหม่อมฉันต่างหากที่ผิด หม่อมฉันทำให้องค์ชายแปดเปื้อน”
หลี่เฉิงเหวินส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ ข้าต้องรับผิดชอบ” เขาหยิบห่อผ้าเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อ “นี่คือยาสมุนไพรที่ข้าได้มาจากหมอชาวทิเบต มันจะช่วยรักษาบาดแผลและลดรอยแผลเป็น”
เยี่ยเฟยหลิงมองยาในมือของเขา ในชาติก่อนนางซาบซึ้งในความห่วงใยของเขามาก จนหลงเชื่อทุกอย่างที่เขาพูด
“พระองค์ใจดีเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันไม่กล้ารับ” เยี่ยเฟยหลิงแสร้งปฏิเสธอย่างสุภาพ
“ข้าขอร้อง” หลี่เฉิงเหวินเอ่ยเสียงอ่อนโยน “อย่างน้อยก็ให้ข้าได้ชดเชยความผิดนี้เถิด”
เยี่ยเฟยหลิงแสร้งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ “หากพระองค์ยืนยัน หม่อมฉันก็ไม่กล้าขัด”
หลี่เฉิงเหวินยิ้มอย่างพึงพอใจ “ข้าจะทายาให้เจ้าเอง”
เยี่ยเฟยหลิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “ไม่ได้เพคะ! องค์ชายไม่ควรทำเช่นนั้น หม่อมฉันเป็นเพียงนางกำนัลต่ำต้อย”
“ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือเรื่องฐานะ”
'เจ้าไม่ถือเรื่องฐานะ แต่เจ้าควรคิดถึงความเหมาะสม' เยี่ยเฟยหลิงแสร้งทำเป็นลังเลอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเขินอาย
หลี่เฉิงเหวินเปิดห่อยา กลิ่นหอมของสมุนไพรลอยออกมา “เจ้าต้องนอนคว่ำและเปิดเสื้อด้านหลัง”
เยี่ยเฟยหลิงทำตามที่เขาบอก นางค่อยๆ นอนลงบนเตียงในท่านอนคว่ำ และค่อยๆ เลื่อนเสื้อลงเพื่อเผยให้เห็นแผ่นหลังที่มีรอยแผลจากการถูกเฆี่ยน
หลี่เฉิงเหวินกลืนน้ำลายลงคอเมื่อเห็นผิวขาวเนียนที่มีรอยแดงจากการถูกเฆี่ยน เขาค่อยๆ จุ่มนิ้วลงในยาสมุนไพร แล้วทาลงบนแผลของเยี่ยเฟยหลิงอย่างเบามือ
เยี่ยเฟยหลิงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงนิ้วมือเย็นๆ ของเขาบนผิวของนาง
“เจ็บหรือไม่?” หลี่เฉิงเหวินถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เล็กน้อยเพคะ แต่ไม่เป็นไร” เยี่ยเฟยหลิงตอบเสียงแผ่ว
หลี่เฉิงเหวินค่อยๆ ทายาลงบนแผลทีละแผล นิ้วมือของเขาสัมผัสอย่างแผ่วเบาบนผิวของนาง “ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมไทเฮาถึงโกรธเจ้านัก เจ้าเพียงแค่ตกน้ำและข้าช่วยเจ้า”
“ไทเฮาคงเกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่เหมาะสมเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงนางกำนัลต่ำต้อย ไม่ควรมีความเกี่ยวข้องกับองค์ชาย”
“เรื่องไร้สาระ ข้าเพียงช่วยชีวิตเจ้า ไม่มีอะไรผิด”
เยี่ยเฟยหลิงเงียบไป นางรู้ดีว่าเขากำลังพยายามสร้างความรู้สึกว่าเขาถูกกดขี่จากกฎเกณฑ์ที่ไม่ยุติธรรม เป็นกลลวงเดิมที่เขาใช้ในชาติก่อน
“มารดาของข้าเสียชีวิตตั้งแต่ข้ายังเด็ก และฮ่องเต้แทบไม่เคยสนใจข้า”
“หม่อมฉันเข้าใจความรู้สึกนั้นเพคะ การเป็นคนที่ถูกลืมเจ็บปวดเพียงใด” เยี่ยเฟยหลิงแสร้งแสดงความเห็นใจ
หลี่เฉิงเหวินทายาเสร็จแล้ว เขาค่อยๆ ดึงเสื้อของเยี่ยเฟยหลิงกลับมาปิดแผ่นหลังของนาง “เสร็จแล้ว ยานี้ทาวันละสองครั้ง เช้าและเย็น ภายในสามวันแผลจะหายสนิท”
เยี่ยเฟยหลิงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ระมัดระวังไม่ให้เสื้อผ้าหลุดลุ่ย “ขอบพระทัยเพคะ องค์ชาย”
หลี่เฉิงเหวินมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน "วันพรุ่งนี้ ข้าจะมาเยี่ยมเจ้าอีก”
“พระองค์ไม่จำเป็นต้องลำบากเพคะ” เยี่ยเฟยหลิงแสร้งปฏิเสธ
หลี่เฉิงเหวินยิ้มอ่อนโยน เขาลุกขึ้นยืน “ข้าต้องไปแล้ว พักผ่อนให้มากๆ นะ”
“ขอบพระทัยอีกครั้งเพคะ” เยี่ยเฟยหลิงแสร้งก้มหน้าลงอย่างเขินอาย
เมื่อหลี่เฉิงเหวินออกจากห้องไป ใบหน้าที่เมื่อครู่ยังอ่อนหวานเขินอายก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาในพริบตา ริมฝีปากบางที่เคยยิ้มน้อยๆ บิดเบี้ยวเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน
ดวงตาคู่งามจ้องมองตลับยาราคาแพงที่หลี่เฉิงเหวินทิ้งไว้ให้ ถึงเขาจะเป็นองค์ชายปลายแถว แต่ก็ยังมีทรัพย์สินมากมาย เขามีบ่อนและหอนางโลมเป็นของตัวเอง ไม่งั้นเขาจะมีพวกขุนนางชั่วค่อยหนุนหลังได้อย่างไร
เยี่ยเฟยหลิงหัวเราะเบาๆ อย่างเย้ยหยัน นางเปิดตลับยาออกดูอีกครั้ง กลิ่นหอมของสมุนไพรลอยออกมา
“ตอนนั้นข้าช่างตาบอดสิ้นดี” นางพูดกับตัวเอง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขมขื่น
ภาพความทรงจำในชาติก่อนผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ภาพของนางที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้หลี่เฉิงเหวินได้ขึ้นครองบัลลังก์ ทั้งลอบวางยาพิษฮองเฮา ใส่ร้ายป้ายสีขุนนางที่ซื่อสัตย์ การหลอกลวงคนอื่น และแม้กระทั่งใช้ร่างกายตัวเอง
และสุดท้าย เมื่อเขาได้เป็นฮ่องเต้ สิ่งที่นางได้รับกลับเป็นเพียงถ้วยยาพิษและคำพูดที่ทิ่มแทงจิตใจ...
“เจ้าทำทุกอย่างที่ข้าขอ แม้กระทั่งสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุด เจ้าคิดว่าข้าจะรักผู้หญิงอย่างเจ้าได้หรือ?”
เยี่ยเฟยหลิงกำมือแน่น เล็บจิกลงบนฝ่ามือจนเลือดออก
ทันใดนั้น ประตูก็ถูกผลักเข้ามาอย่างแรง ทำให้เยี่ยเฟยหลิงสะดุ้งตกใจ ก่อนจะหันไปมอง
หลี่เกอหยาง ยืนอยู่ที่ประตู ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววโกรธเกรี้ยว ดวงตาคมกริบจ้องมองนางอย่างเดือดดาล
“รัชทายาท!” เยี่ยเฟยหลิงร้องเสียงหลง ความตกใจทำให้นางถอยหลังไปติดผนัง
หลี่เกอหยางพุ่งตรงเข้ามาหานางด้วยความเร็วดั่งแสง ก่อนที่นางจะทันตั้งตัว เขาก็คว้าคอเสื้อนางและกดร่างบางให้ติดกับผนังห้อง
“หญิงแพศยา!” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอย่างเดือดดาล ดวงตาคมกริบจ้องเขม็งมาที่นางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ“เจ้ามันน่ารังเกียจยิ่งกว่านางโลมในหอคณิกา!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เยี่ยเฟยหลิงก็หยุดดิ้น นางเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี ดวงตาคู่งามจ้องกลับไปที่หลี่เกอหยางอย่างไม่ยอมแพ้ ริมฝีปากบางบิดเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน
“ก็หญิงน่ารังเกียจคนนี้ไม่ใช่หรือ?...ที่ท่านเคยคุกเข่าอ้อนวอนขอให้อยู่เคียงข้างท่าน แม้ว่าใจของข้าจะเป็นของคนอื่น”
คำพูดของนางเหมือนน้ำมันที่ราดลงบนกองไฟ หลี่เกอหยางโกรธจนตัวสั่น ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวด้วยความเดือดดาล
“เจ้า...” เขาคำรามในลำคอ ก่อนจะพุ่งเข้าหานางและประทับริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากบางของนางอย่างรุนแรง
เยี่ยเฟยหลิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ นางพยายามผลักเขาออก แต่ร่างกายของหลี่เกอหยางแข็งแกร่งราวกับกำแพงหิน เขากดร่างของนางแนบกับผนัง จูบนางอย่างดุดัน ราวกับต้องการลงทัณฑ์นาง
ก่อนที่เขาจะกัดริมฝีปากล่างของนางอย่างแรง จนเลือดซิบออกมา
“อ๊ะ!” เยี่ยเฟยหลิงร้องด้วยความเจ็บปวด นางดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง แต่ยิ่งดิ้น แผลบนแผ่นหลังก็ยิ่งปวดแสบปวดร้อน น้ำตาเริ่มไหลออกมาจากหางตา
หลี่เกอหยางผละออกจากริมฝีปากของนาง แต่ยังคงกดร่างของนางไว้กับผนัง เขาจ้องมองใบหน้าที่ชุ่มน้ำตาของนาง ริมฝีปากของนางบวมช้ำและมีเลือดไหลซิบ
“เจ้าคิดว่าข้าจะหลงกลเจ้าอีกครั้งหรือ?” เขากระซิบเสียงต่ำ “ในชาตินี้ ข้าจะทำให้เจ้าได้ลิ้มรสความเจ็บปวดเหมือนที่ข้าเคยได้รับ”
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจก็ดังขึ้นจากประตูห้อง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?!”
เสียงแหลมสูงของฮองเฮาดังก้องในห้อง ทั้งหลี่เกอหยางและเยี่ยเฟยหลิงหันไปมองที่ประตูพร้อมกัน
ฮองเฮายืนอยู่ที่ประตู ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความตกใจและโกรธเกรี้ยว ข้างหลังนางคือนางกำนัลอีกหลายคนที่มองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึง
ภาพที่ฮองเฮาเห็นคือรัชทายาทกำลังกดร่างของนางกำนัลชั้นล่างไว้กับผนัง ริมฝีปากของนางมีเลือดไหลซึม เสื้อผ้าของทั้งคู่ยับยู่ยี่
“รัชทายาท!” ฮองเฮาเอ่ยเสียงสั่น “เจ้ากำลังทำอะไร?”
หลี่เกอหยางปล่อยมือจากเยี่ยเฟยหลิงทันที ร่างบางของนางทรุดลงกับพื้น
“เสด็จแม่...ลูกสามารถอธิบายได้”
“เงียบ!” ฮองเฮาตวาดเสียงดัง พระนางก้าวเข้ามาในห้อง ดวงตาคมกริบจ้องมองไปที่เยี่ยเฟยหลิงที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น “เจ้ากล้าล่อลวงรัชทายาทไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือยังไง?!”
“ไม่ใช่อย่างนั้นเพคะ!” เยี่ยเฟยหลิงรีบปฏิเสธ น้ำตาไหลอาบแก้ม “หม่อมฉันไม่ได้...”
“เจ้ายังกล้าเถียงอีกหรือ?!” ฮองเฮาตวาดลั่น “ข้าเห็นกับตาตัวเองว่าพวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน!”
“เสด็จแม่ นี่เป็นความผิดของข้าเอง” หลี่เกอหยางพยายามแก้ต่าง
“รัชทายาท เจ้าไม่ต้องปกป้องนาง ข้ารู้ดีว่าหญิงประเภทนี้มีวิธีการยั่วยวนบุรุษอย่างไร”
ฮองเฮาหันไปสั่งนางกำนัลที่ยืนอยู่ข้างหลัง “จับตัวนางไว้!”
นางกำนัลสองคนรีบเข้ามาคว้าแขนของเยี่ยเฟยหลิงไว้ นางไม่ขัดขืน ปล่อยให้พวกนางจับตัวไว้
“เสด็จแม่ ข้าขอร้อง...” หลี่เกอหยางพยายามอีกครั้ง
“พอแล้ว!” ฮองเฮาตวาด “เจ้าเป็นถึงรัชทายาท อนาคตของต้าเฉียน ข้าจะไม่ยอมให้หญิงต่ำช้าคนนี้ทำลายชื่อเสียงของเจ้า!”
ฮองเฮาหันมามองเยี่ยเฟยหลิงด้วยสายตาเย็นชา “พานางไปที่ตำหนักของไทเฮา!”
ตำหนักของไทเฮาเต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด ไทเฮานั่งอยู่บนบัลลังก์ ใบหน้าสูงวัยเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ข้างๆ นางคือฮองเฮาที่ยืนอยู่ด้วยท่าทีสง่างาม
เยี่ยเฟยหลิงคุกเข่าอยู่กลางห้อง ศีรษะก้มต่ำ นางไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวหรือสำนึกผิดแต่อย่างใด
“เยี่ยเฟยหลิง!” เสียงของไทเฮาดังก้อง “เจ้ากล้าดียังไงมาทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้!”
เยี่ยเฟยหลิงยังคงก้มหน้า ไม่ตอบคำ
“เจ้าเป็นเพียงนางกำนัลต่ำต้อย แต่กลับมีความคิดสูงเกินฐานะ!” ไทเฮาตวาด “เมื่อวานก่อนเจ้าเพิ่งถูกลงโทษเพราะเรื่ององค์ชายสิบสาม วันนี้เจ้ากลับกล้าล่อลวงรัชทายาท!”
“หม่อมฉันไม่ได้ล่อลวงรัชทายาทเพคะ” เยี่ยเฟยหลิงเอ่ยเสียงเรียบ
“เจ้ายังกล้าเถียงอีก?!” ฮองเฮาแทรกขึ้น “ข้าเห็นกับตาตัวเองว่าเจ้าอยู่กับรัชทายาทในห้องสองคน!”
“หม่อมฉันไม่ได้เชิญรัชทายาทเข้ามาในห้อง แต่พระองค์ที่บุกเข้ามาเอง”
“หุบปาก!” ไทเฮาตวาด “ไม่ว่าใครเป็นคนเริ่ม แต่เจ้าก็อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสมกับรัชทายาท นี่เป็นความผิดร้ายแรง!”
ในขณะนั้น หลี่เกอหยางก็ก้าวเข้ามา
“เสด็จย่า” เขาคำนับอย่างนอบน้อม “ข้ามาเพื่อรับผิดชอบในเรื่องนี้”
“รัชทายาท เจ้าไม่จำเป็นต้องปกป้องนาง” ไทเฮาเอ่ย
“ไม่ใช่เช่นนั้นเพคะ” เสียงอ่อนหวานดังขึ้นจากประตู ทุกคนหันไปมอง
หญิงสาวในชุดสีชมพูอ่อนก้าวเข้ามาในห้อง ใบหน้างดงามราวกับเทพธิดา นางคือจางเม่ย บุตรสาวของอัครเสนาบดีจาง คู่หมั้นของรัชทายาท
“เม่ยเอ๋อร์” ฮองเฮาเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เจ้ามาได้อย่างไร?”
“หม่อมฉันมาเยี่ยมฮองเฮาเพคะ แล้วได้ยินเรื่องวุ่นวายนี้พอดีจึงตามมาที่ตำหนักฉือหนิง” จางเม่ยตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะหันไปมองเยี่ยเฟยหลิงที่ยังคุกเข่าอยู่กลางห้อง
“หม่อมฉันเชื่อว่านางกำนัลผู้นี้คงไม่กล้าล่อลวงรัชทายาทหรอกเพคะ คงเป็นความเข้าใจผิด”
“เม่ยเอ๋อร์ เจ้าใจดีเกินไป” ฮองเฮาส่ายหน้า “ข้าเห็นกับตาตัวเอง”
“ถึงอย่างไร หม่อมฉันคิดว่าการลงโทษนางกำนัลผู้นี้ในวังคงไม่เหมาะสม มันจะทำให้เรื่องนี้แพร่กระจายออกไป และกระทบถึงชื่อเสียงของรัชทายาท”
ไทเฮาพยักหน้าช้าๆ “ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล”
“หม่อมฉันคิดว่า การไล่นางออกจากวังเป็นการลงโทษที่เหมาะสมที่สุดเพคะ”
ไทเฮาพิจารณาข้อเสนอของเฉินอี้หลิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “ข้าเห็นด้วย ยังไงนางก็ยังเป็นบุตรสาวของขุนนาง ถึงจะขั้นที่หกก็เถอะ”
ไทเฮาหันมามองเยี่ยเฟยหลิงด้วยสายตาเย็นชา “เยี่ยเฟยหลิง! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าไม่มีสิทธิ์ก้าวเข้ามาในวังอีก!”
เยี่ยเฟยหลิงเงยหน้าขึ้นมองไทเฮา ก่อนจะคำนับอย่างนอบน้อม “หม่อมฉันรับพระบัญชาเพคะ”
“พานางไปเก็บข้าวของและออกจากวังทันที!” ไทเฮาสั่ง
นางกำนัลสองคนเข้ามาลากเยี่ยเฟยหลิงให้ลุกขึ้น นางมองไปที่หลี่เกอหยางเป็นครั้งสุดท้าย ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเย็นชา ก่อนที่นางจะหันหลังและเดินออกจากตำหนักไป
