ตอนที่ 3
บ้านที่เป็นเรือนหอร่วมสร้างมาด้วยกัน และยังเป็นที่ที่เลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ สำหรับเธอมันคือสถานที่สร้างความทรงจำล้ำค่า ไม่เข้าใจเลยว่าเขากล้าทำถึงขนาดนี้ได้อย่างไร
“คุณกล้าดียังไงถึงมาสอนผม!” บางคนก็เต็มไปด้วยทิฐิเหมือนสามีของอิงวรายามนี้ เขาเป็นถึงข้าราชการตำแหน่งสูง รู้จักคนมากมายหลายสาขาอาชีพ ไปข้างนอกมีแต่คนยกมือไหว้ ตำแหน่งภรรยาเป็นแค่ช้างเท้าหลังไม่มีสิทธิ์เสียงใดทั้งนั้น
ความสัมพันธ์ที่ผ่านมาไม่ราบรื่น แต่ไม่เคยมีปากเสียงกันจนอิงวราเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยเช่นตอนนี้ ขณะที่สามีคว้าผ้าขนหนูมาพันตัว สองขาของเธอรีบก้าวถอยหลังออกมาจากห้อง
“เก่งนักก็อย่าหนี!” เขากระชากข้อมือภรรยาวัยเกษียณของตัวเองให้เข้ามา ใบหน้าถมึงทึงเพราะโกรธที่โดนขัดจังหวะ
“ปล่อย” อิงวราพยายามดึงข้อมือออก แต่เรี่ยวแรงต่างกันเกินไป สุดท้ายก็เหมือนโดนลากอยู่ฝ่ายเดียว
“เหอะ ไป!” ชายชราสะบัดมืออีกฝ่ายทิ้ง ใช่ว่าเขาอยากจับของเหี่ยวย่นเสียเมื่อไหร่
“กรี๊ดดด!”
อนิจจา ไม่มีใครทันระวังตัว พวกเขายืนหมิ่นอยู่แถวทางลงบันได เมื่อโดนสะบัดอย่างแรงร่างผ่ายผอมก็ร่วงไป ศีรษะอิงวรากระแทกกับโต๊ะไม้ขนาดเล็กที่ตั้งไว้แถวนั้น
เสียงกะโหลกฟาดกับของแข็งดังสนั่น เธอไม่รู้สึกเจ็บแต่ชาวูบไปทั้งแถบ และในวินาทีเดียวกันก็รู้สึกเหมือนศีรษะกำลังเต้นตุบ ๆ พร้อมกับความเหนอะหนะและกลิ่นสนิมลอยกระทบจมูก
เสียงของสามีที่โหวกเหวกไกลออกไป ทัศนวิสัยก็ค่อย ๆ พร่าเลือน ภาพของลูกผุดขึ้นมาในหัว ตามด้วยเรื่องราวในอดีต ก่อนเสียงของเจ้าอาวาสที่พูดกับเธอเมื่อเช้าจะแว่วซ้ำราวย้ำเตือน
‘ทำจิตให้เบา…’
ได้ยินเพียงเท่านั้นก็ปิดเปลือกตาลง เธอเหนื่อยเหลือเกินกับชีวิตนี้…
ลูกๆของอิงวราโตจนมีครอบครัวไปหมดแล้วเลยไม่มีสิ่งใดให้พะวง ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัวสำหรับเธอแม้แต่น้อย จะสงสัยก็เพียงเรื่องเดียวว่าทำไมถึงไม่มีใครมารับดวงวิญญาณเสียที
นึกแปลกใจที่ตัวเองยังรู้สึกตัว อิงวราพยายามเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้น แต่สิ่งแรกที่เห็นสร้างความประหลาดใจมากกว่าเดิม เด็กสาวในชุดจีนโบราณกำลังยืนประจัน สีหน้าของเธอคนนั้นบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ
“อึก” อิงวรากระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง ความเจ็บแปลบตรงช่วงท้องชัดเจนราวกับมีสิ่งใดกำลังปักตัวเธออยู่
หากจะต้องรู้สึกเจ็บปวดตรงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย มันควรจะเป็นศีรษะที่ล้มฟาดไว้ไม่ใช่ลำตัว อิงวราพยายามมองรอบข้างก็พบว่าตอนนี้ตัวเองเหมือนอยู่นอกตัวบ้าน มีเพียงแสงไฟจากที่ไกล ๆ เลยมองเห็นอะไรไม่ถนัดนัก
“คะ ใคร…” ถึงอย่างนั้นก็พยายามจะเค้นเสียงแหบแห้งถามคนตรงหน้าออกไป
อีกคนแสยะยิ้ม เหมือนจะพูดอะไรออกมาอีกหลายประโยคแต่อิงวราฟังไม่ได้ยินสักครึ่งคำ สติเริ่มพร่าเลือนอีกครั้งเป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่เธอเพิ่งประสบมา
เพิ่งตายเมื่อกี้แหมบ ๆ นี่เธอต้องตายซ้ำอีกรอบอย่างนั้นหรือ?!
ไม่ทันได้ตัดพ้อโชคชะตา ภาพความทรงจำชุดหนึ่งหลั่งไหลเข้ามาในหัว เธอเข้าใจบ้างแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าดูเหมือนจะทนพิษบาดแผลไม่ไหว ร่างอ่อนแรงทรุดลงไปนอนกับพื้น
“สมควรแล้ว” เด็กสาวพูดขณะมองร่างบนพื้นด้วยแววตาสาแก่ใจ
เธอเหลียวซ้ายแลขวาเพื่อดูลาดเลา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเดินหลงมาก็ลากอีกคนไปยังธารน้ำที่อยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะใช้เท้าถีบร่างนั้นให้ร่วงหล่น คนหน้าเนื้อใจเสือกระหยิ่มยิ้มย่องแล้วเดินจากไป
กระแสน้ำไหลเชี่ยวนำพาร่างไร้สติให้ลอยเรื่อยกระทั่งพ้นเขตเมืองเดิม ดวงตะวันลาลับขอบฟ้านานแล้ว ไม่มีใครรู้เห็นถึงเหตุร้ายนี้แม้แต่น้อย
.
.
“อาหมิง อย่ายืนริมน้ำเช่นนั้น ประเดี๋ยวจะตกลงไป” เสียงบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยเตือนเด็กชาย มือของเขาถือตะเกียงยื่นไปด้านหน้า
“ข้าจะระวังขอรับท่านพ่อ” เด็กชายวัยห้าขวบปีนามว่าไป่หมิงตอบพร้อมถอยหลังมาก้าวครึ่ง ทั้งที่เวลาล่วงเข้าปลายยามซวีแล้ว แต่พวกเขายังก้ม ๆ เงย ๆ เหมือนกำลังค้นหาบางอย่าง
ที่ไป่ซีเฟิงออกมาริมธารยามนี้ เนื่องจากดอกของสมุนไพรบางชนิดจะบานแค่ช่วงกลางคืนเท่านั้น ตั้งใจจะมาคนเดียวแต่เด็กชายรบเร้าจนเขายอมพามาด้วย
ไป่ซีเฟิงย่อตัวลงเก็บสมุนไพรจำนวนหนึ่งลงตะกร้า ขณะนั้นเด็กชายก็อุทานขึ้นมาอย่างตื่นตกใจ
“เย้ย!” ใบหน้ากลมซีดเผือด เสียงที่พูดก็ตะกุกตะกัก “ทะ ท่านพ่อขอรับ”
“เสียงเจ้าทำนกตื่นหมดแล้วกระมัง มีอันใดเกิดขึ้น” ชายหนุ่มลุกขึ้นมาหา ถึงน้ำเสียงจะเรียบนิ่งแต่แววตาแฝงความเป็นห่วง
“ตะ ตรงนั้นขอรับท่านพ่อ” นิ้วป้อมชี้ไปในธารน้ำ อีกมือก็ปิดตาตัวเองคล้ายไม่กล้ามองตรง ๆ
ครั้นมองตามยังจุดที่บุตรชายชี้บอก ข้างโขดหินก้อนใหญ่มีเงาดำตะคุ่ม ไป่ซีเฟิงพยายามหรี่ตาเพื่อจำแนกว่าสิ่งที่เห็นนั้นคือคนเป็นหรือว่าคนตาย หากเป็นอย่างหลังก็คงต้องปล่อยไปตามยถากรรม เพราะเขามาเก็บสมุนไพรหาใช่เก็บศพ
“อาหมิง ถือไว้”
“ขอรับ”
