ตอนที่ 5
“ท่านพ่อขอรับ” เสียงใสดังขึ้นพร้อมกับเด็กชายตัวป้อมตามเข้ามาในห้องยา “ให้ข้าช่วยดีหรือไม่ขอรับ”
“ช่วยทำให้งานช้ากว่าเดิมหรือ?” เสียงนุ่มสัพยอกบุตรชายแล้วหัวเราะน้อย ๆ ในลำคอ เรื่องพวกนี้เป็นความรู้เฉพาะทาง คงไม่อาจใช้งานผู้ใดสุ่มสี่สุ่มห้าได้
“โธ่ ข้าโตมากแล้วนะขอรับ” ความสูงของคนบอกว่าโตแล้วยังไม่พ้นเอวดี
“อีกเดี๋ยวต้องทำแผลให้แม่นางหลิว เช่นนั้นเจ้าไปเตรียมผ้าสะอาดมา” ในที่สุดชายหนุ่มก็มอบหมายงานง่าย ๆ ให้ ส่วนไป่หมิงก็วิ่งฉิวออกไปอีกห้องเพื่อทำตามคำบัญชา
ร่างสูงใส่สมุนไพรลงในหม้ออย่างไม่หวง เพราะถือคติว่าการรักษาคนเจ็บไม่ใช่ทำการค้าที่ต้องลดต้นทุนแล้วมุ่งหวังผลกำไร สิ่งสำคัญสำหรับเขาคือทุกคนหายจากโรคภัยเบียดเบียน
ไป่ซีเฟิงเดิมเป็นบัณฑิต ทางบ้านอยากให้เข้าสอบเป็นขุนนาง เขาสอบผ่านรอบแรกอย่างไม่ยากเย็น ทว่าเมื่อผ่านแล้วกลับค้นพบว่าเส้นทางนี้หาใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการ
เขาสนใจเกี่ยวกับการแพทย์และสมุนไพรมากกว่า เลยทิ้งการสอบเอาดื้อ ๆ แล้วมาศึกษาเรื่องสมุนไพรอย่างจริงจัง ดั้นด้นเสาะหาผู้มีความสามารถจนได้พบกับหมอเทวดา ขอปวารณาตัวเป็นศิษย์แล้วออกติดตามอาจารย์ไปรักษาตามที่ต่าง ๆ
เมื่อครบ 4 ปีก็โดนอาจารย์ขับไล่ด้วยบอกว่าไม่มีสิ่งใดจะสอนแล้ว อาจารย์บอกว่าให้ไปใช้ชีวิตของตัวเอง สืบทอดเจตนารมณ์ช่วยเหลือคนต่อไป แม้ไม่ได้ติดตามกันแต่สายสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์จะยังคงอยู่
ด้วยเป็นคนนิสัยรักสงบไม่ชอบความพลุกพล่าน เขาจึงเปิดโรงหมอเล็ก ๆ ท้ายหมู่บ้านแทนที่จะเป็นในเมือง มีผู้คนแวะเวียนมาเนือง ๆ บางคราวก็มีคนมาตามให้ไปรักษาคนป่วยตามที่ต่าง ๆ
เกือบครึ่งชั่วยามกลิ่นยาเข้มข้นก็ลอยมาแตะจมูก พร้อมสองพ่อลูกเดินกลับเข้ามาในห้องที่หลิวอิงฮวาพักอยู่
“ดื่มตอนอุ่น ๆ จะขมน้อยกว่า” มือใหญ่ยื่นถาดที่ใส่ถ้วยยามาให้คนบนเตียง
หลิวอิงฮวาหลุบมองยาแล้วรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย เข้าใจว่ายุคนี้ใช้สมุนไพร ต้นไม้ ใบหญ้าเป็นหลัก แต่สีของเหลวในถ้วยเป็นสีเขียวที่ค่อนไปทางน้ำตาล ชวนให้นึกถึงดินและหญ้ามาผสมรวมกันอย่างไรชอบกล
“ดื่มเลยงั้นหรือ…?”
เห็นไป่ซีเฟิงพยักหน้านางก็หยิบชามขึ้นมา ปลอบใจตัวเองว่าชีวิตก่อนแก่ปูนนั้นจะมากลัวแค่รสขมของยาก็อย่างไรอยู่
อุณหภูมิที่สัมผัสผ่านถ้วยยาอุ่นกำลังดี หลิวอิงฮวาหลับตากลั้นหายใจแล้วยกถ้วยยาดื่มลงคอจนหมดในรวดเดียว
“แค่ก!” การกลั้นหายใจดูเหมือนจะไม่ช่วยเท่าใดนัก เพราะรสชาติขมเฝื่อนยังติดลิ้นไม่หาย
“ยาไม่ใช่สุรา เหตุใดจึงกรอกลงคอเช่นนั้น” ไป่ซีเฟิงรีบรินน้ำชาส่งให้หญิงสาว
“พี่สาว ห้ามอ้วกนะขอรับ” ส่วนไป่หมิงก็วิ่งไปที่เตียง มือเล็กช่วยลูบแผ่นหลังอย่างหวังดี
หลิวอิงฮวาดื่มชาล้างรสขมของยาไปครึ่งถ้วย นึกขำเด็กชายเล็กน้อย ไม่ทราบว่าเขาเป็นห่วงนางหรือว่าแค่เสียดายยากันแน่
“หากไม่มีไข้ ตอนนี้อาการก็ไม่มีอันใดน่ากังวลแล้ว” ชายหนุ่มพูดขณะตัดผ้าสะอาดออกเป็นริ้ว “ส่วนแผลคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะถึงจะหายดี”
“ขอบคุณท่านหมอมาก” นางตอบพลางยกมือขึ้นทาบหน้าผากและลำคอตัวเองก็พบว่าไม่มีไข้ อาการปวดศีรษะที่กำลังเผชิญน่าจะเพราะการรับความทรงจำของหลิวอิงฮวาคนเก่ามากกว่า
สายตาเลื่อนมองเรื่อยเปื่อยก่อนจะหยุดอยู่ที่ร่างสูง ไป่ซีเฟิงตัดผ้าเป็นริ้วเพื่อใช้สำหรับพันแผลเสร็จแล้วก็ลงมือบดตัวยาในชามที่เตรียมไว้ให้เข้ากัน อดีตครูคหกรรมมองเห็นความชำนาญในวิชาชีพของอีกฝ่าย แอบชื่นชมในใจว่าพ่อหนุ่มคนนี้ช่างมีฝีมือจริง ๆ
“แม่นางหลิว” เขาเรียกพลางเดินมาที่เตียง “เกิดอันใดขึ้นกับเจ้างั้นหรือ”
หรือเขาจะทราบว่านางเป็นคนจากโลกอื่น?
ขณะที่กำลังงุนงงเพราะคำถามสามารถตีความได้สองแง่ เสียงใสก็ช่วยไขข้อสงสัยให้
“พี่สาว ใครทำร้ายท่านหรือ” ไป่หมิงมองมาด้วยสายตาเป็นห่วง “หรือว่ามีโจรดักปล้นท่าน?!”
“หากเป็นโจร ข้าจะช่วยไปร้องทุกข์ที่สำนักมือปราบให้” ไป่ซีเฟิงเขาเอ่ยอาสาเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่หายดี
แม้สีหน้าของไป่ซีเฟิงจะเรียบนิ่ง แต่น้ำเสียงของเขาฟังออกว่าอยากช่วยเหลือนางจริง คนถูกถามนิ่งเงียบเพราะกำลังครุ่นคิดว่าควรตอบอย่างไรดี
