บท
ตั้งค่า

แม่ค้าอาหารตามสั่ง

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา

หนึ่งนภากลับมาใช้ชีวิตแบบเดิม แม้มันจะไม่เหมือนเดิมเลยสักนิด แต่เธอจะรักษาชีวิตนี้ไว้อย่างดี ตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับเขา อยู่กับความหวังที่ว่าสักวันจะมีคนที่อยากอยู่กับเธอบ้าง ไม่ทิ้งเธอไว้บนโลกกว้างนี้คนเดียวอีก

“หายไปไหนมาลูก ทำไมไม่มาทำงาน”

หญิงสูงวัยเจ้าของร้านอาหารตามสั่งที่หนึ่งนภาทำงานอยู่ เอ่ยถามเด็กสาวรุ่นลูกทันทีที่เห็นเธอเดินเข้าไปในร้าน

“ขอโทษค่ะแม่สา คือหนูยังมาทำงานที่นี่ได้อยู่หรือเปล่าคะ” หนึ่งนภายกมือไหว้เจ้าของร้านอาหารที่อยู่ตรงข้ามกับบริษัทส่งออกยักษ์ใหญ่ อย่าง Shiva Export

“ได้สิลูก แล้วนี่น้องสาวของหนึ่งเป็นยังไงบ้าง” สาวิกา เจ้าของร้านใจดีเดินไปใกล้ จับมือเล็กอย่างให้กำลังใจ เพราะรู้ข่าวว่าน้องสาวของเธอถูกรถชน แม้หนึ่งนภาจะไม่ได้ลางานช่วงสองสัปดาห์ผ่านมา แต่ท่านคิดว่าเธอคงไปอยู่ดูแลน้องสาวที่โรงพยาบาล

“ไม่มีแล้วค่ะ หนึ่งไม่มีน้องสาวแล้วค่ะ” น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างห้ามไม่อยู่ ผ่านมาเป็นอาทิยต์แล้ว แต่เหมือนเวลาไม่เคยผ่านไปเลย เธอยังรู้สึกเหมือนยืนอยู่หน้าห้องนั่นอยู่ตลอด ภาพใบหน้าน้องสาวในวันที่เธอเปิดผ้าสีขาวนั่นออกยังติดตาอยู่เสมอ

“โธ่ลูก” คนสูงวัยดึงเด็กสาวมากอดปลอบประโลม ท่านได้หนึ่งนภาช่วยงานมาตั้งแต่เธอเข้าเรียนมหาลัย เด็กคนนี้ขยันและไม่เคยเรียกร้องเงินเดือนมากมาย เธอขอแค่มีข้าวกิน มีเงินไว้ให้น้องเรียนต่อแค่นั้นก็พอ ท่านจึงเอ็นดูหนึ่งนภามากเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง

กว่าจะปลอบใจคนสูญเสียให้คลายความเศร้าหมองลงก็กินเวลาไปนานพอสมควร โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีคนในร้านเพราะยังเช้าอยู่ คนทั้งสองจึงมีเวลาปลอบโยนกัน

“ถ้าหนูอยากไปทำงานดีๆกว่านี้ก็ได้นะลูก ความสามารถหนูไม่ควรมาทำงานเป็นเด็กเสริฟกับล้างจานที่ร้านแม่หรอก”

หนึ่งนภาเรียนจบบริหารจากมหาลัยเปิด ทำงานเก็บเงินส่งตัวเองจนจบ ท่านรู้ว่าเธอไม่ได้ทำงานที่ร้านนี้ที่เดียว และตอนนี้เธอน่าจะออกไปทำงานอื่น ที่เงินเดือนดีกว่าที่นี่

“หนูได้ข้าวของแม่เลี้ยงดูมาตั้งหลายปี หนูจะช่วยแม่อยู่ที่นี่ค่ะ” บ่อยครั้งที่ท่านหยิบยื่นความช่วยเหลือให้เธอกับน้องสาว แม้จะไม่มากแต่ท่านก็ช่วย เธอไม่อยากไปไหน ตอนนี้เธอไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินแล้ว ทำงานที่ไหนก็ไม่มีความสุขเท่ากับทำที่นี่

“เอาอย่างนั้นก็ได้ ตอนนี้หนูอาจจะยังไม่มีจุดมุ่งหมาย เหมือนคนที่หลงทาง ถ้าวันไหนที่หนูหาจุดหมายในชีวิตได้ แม่จะคอยสนับสนุนนะลูก” ท่านวางมือลงบนศรีษะเล็กๆอย่างเอ็นดู ก่อนจะจับมือกันออกไปยืนหน้าร้าน เพื่อรอลูกค้าที่จะมากินอาหารที่นี่

ร้านอาหารตามสั่งแห่งนี้เปิดขายมาหลายปี ขายตั้งแต่ยังไม่มีตึกใหญ่ฝั่งตรงข้ามด้วยซ้ำ พนักงานก็เปลี่ยนไปมา เพราะงานมันหนัก สาวิกาไม่เคยจ้างคนเกินหนึ่งคน คนที่มาอยู่จึงไม่ค่อยทนงาน มีเพียงหนึ่งนภาที่ทำงานนานกว่าทุกคน ทำตั้งแต่เริ่มเข้ามหาลัยปีแรก จนตอนนี้ผ่านมา เกือบหกปีแล้ว หนึ่งนภาในวัย 23 ขยันขันแข็ง หนักเอาเบาสู้จนท่านเอ็นดูและรักเหมือนลูกสาวคนนึง

“ผมเอาคะน้าหมูกรอบครับ”

ร่างสูงใส่สูทราคาแพงนั่งลงที่เก้าอี้ในร้าน เลือกนั่งบริเวณโต๊ะด้านหน้าสุด ช่วงสายของวันเขาจะมานั่งที่นี่ทุกวัน และเมนูที่สั่งก็ไม่ค่อยต่างจากเดิมมากนัก วันไหนไม่สั่งคะน้าหมูกรอบ ก็จะสั่งข้าวผัด ทั้งๆที่เป็นถึงเจ้าของบริษัทกลับมานั่งกินข้าวที่ร้านเล็กๆแห่งนี้ด้วยตัวเอง

“พิเศษไหมลูก”

สาวิกาถามอย่างทุกที มองใบหน้าหล่อเหลาของคนรุ่นลูกด้วยรอยยิ้ม กว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะรู้เวลา กว่าจะรู้ว่าช่วงไหนคนน้อยก็ใช้เวลาหลายปี ก่อนหน้านั้นที่เขามา จะมาช่วงที่คนเยอะตลอด จนบางทีกว่าจะได้กินข้าวก็เกือบครึ่งชั่วโมง หรือบางทีนานถึงสองชั่วโมงก็มี แต่เขาก็ยังยืนรอเงียบๆ ไม่รู้ติดใจอะไรร้านอาหารของท่าน

“ไม่ครับ แต่วันนี้เอาสองจาน”

ศิวะนั่งหันหน้าออกนอกร้าน มองไปในทิศทางที่บริษัทตัวเองตั้งอยู่ เวลาที่คิดอะไรไม่ออกเขาชอบมาที่นี่ นั่งมองสิ่งที่ตัวเองมีจากมุมนี้เงียบๆ เป็นแบบนี้มาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ที่เริ่มก่อตั้งบริษัท เมื่อ 8 ปีก่อน

“แม่สา หนูกลับมาแล้วค่ะ” หนึ่งนภาเดินถือของพะรุงพะรังเข้าไปในร้าน เดินผ่านผู้ชายที่ดูดีทุกระเบียบนิ้วไปอย่างรวดเร็ว หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะทุกครั้งที่เขามา และดูเหมือนว่าครั้งนี้จะเต้นแรงมากกว่าปกติ เพราะครั้งนี้เขามองเธออย่างสนอกสนใจ

เป็นครั้งแรกที่ศิวะมองคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของร้าน เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกคุ้นหูกับเสียงของพนักงานคนนี้ ทั้งๆที่เธอทำงานที่นี่มาหลายปี แต่เขากลับไม่เคยตั้งใจฟัง แต่เสียงเมื่อกี้ที่เขาได้ยิน มันเหมือนเสียงครางหวานที่ตามเข้ามาหลอกหลอนในห้วงความฝันเขาบ่อยๆ

หนึ่งนภารีบผุบหายเข้าไปหลังร้าน ไม่รู้ว่าเขาจะจำเธอได้ไหม หลังจากเรื่องในคืนนั้นเกิดขึ้น เธอตั้งใจจะลาออกจากที่นี่ เพราะคิดว่าต้องไปดูแลน้องสาวอย่างใกล้ชิดที่โรงพยาบาล แม้จะรู้สึกเสียดายงานตรงนี้ แต่เธอตั้งใจแบบนั้น ถึงได้กล้าตัดสินใจขายตัวให้เขา แต่ไม่เคยคิดถึงเหตุการณ์แบบวันนี้เลย เขาคงจำเธอไม่ได้หรอก หวังให้เขาจำไม่ได้ เพราะวันนั้นเธอแต่งหน้าหนามาก มันต่างจากตอนนี้นิดหน่อย แถๆไปก่อนว่าไม่ใช่คนเดียวกัน มันน่าจะได้มั้ง

“ได้แล้วลูก” จานข้าวสองจานที่วางลง เรียกสติของศิวะให้ออกจากห้วงความคิด ลงมือกินข้าวเงียบๆ แต่หูทั้งสองข้างยังคอยฟังเสียงหวานๆ ของคนที่หายเข้าไปหลังร้านอยู่ตลอด

“มีอะไรลูก วันนี้เค็มไปเหรอ”แม่ค้าอาหารตามสั่ง เอ่ยถามคนที่นั่งนิ่งเมื่อกินอาหารของท่านเข้าไปได้เพียงสามคำ

“เหนื่อยไหมครับ” ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเหนื่อย ทั้งที่เขามีทุกอย่างแบบนี้ แต่ไม่เคยมีสักวันที่ได้พักเลย บางวันก็เหนื่อยจนอยากนอนอยู่บ้านเฉยๆ แต่พอคิดจะทำแบบนั้นจริงๆ ร่างกายก็ตื่นตัว วิ่งหัวฟูมาทำงานเหมือนเดิม

“หมายถึงงานของแม่รึเปล่า มันก็เหนื่อย แต่มันก็มีความสุขดี เพราะได้ทำเพื่อคนอื่น”

คนมากวัยพูดด้วยรอยยิ้ม เวลาที่เห็นคนกินกับข้าวฝีมือท่าน ท่านมีความสุขที่สุด และไม่เคยขึ้นราคาเลย เป็นแบบนี้ตั้งแต่เปิดร้านแรกๆจนถึงตอนนี้ อาจจะปรับราคาขึ้นมาบ้าง ตามยุคและราคาข้าวของ แต่ไม่เคยเกินครั้งละ 5 บาทเลย และนานๆปีถึงจะขึ้นที และตอนนี้ราคาค่าอาหารร้านท่านก็อยู่ที่ 30 เท่านั้น แม้ร้านอื่นจะขึ้นไป 50-60 หมดแล้วก็ตาม

“การทำเพื่อคนอื่นมันรู้สึกดีเหรอครับ” เขายังไม่เข้าใจ เพราะสังคมที่เขาอยู่มีแต่คนทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น ไม่เห็นใครทำเพื่อคนอื่นเลย

“ถ้าอยากรู้ก็ลองดูสิลูก ไม่มีใครรู้ดีเท่าตัวเราเองหรอก ว่ามันรู้สึกดียังไง” ท่านพูดจบก็เดินจากไป เพราะมีลูกค้าเข้ามาสั่งอาหาร ศิวะมองและคิดตามเงียบๆ พร้อมกับลงมือทานข้าวในจานต่อ

เจ้าของบริษัทส่งออกยังคงนั่งคิดอยู่นาน แม้ข้าวในจานจะหมดไปแล้วทั้งสองจานก็ตาม นั่งมองและคิดทุกอย่างเหมือนเคย แต่มีสิ่งหนึ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาคือ เขากำลังนั่งฟังและแยกแยะเสียงของคน

“ค่ะ คะน้าหมูกรอบ ไม่พริก กระเพาหมูสับ …..” เสียงพนักงานทวนเมนูอาหารอยู่โต๊ะด้านหลัง ทำให้ศิวะนั่งนิ่ง ถ้ามาครางใกล้ๆเขากว่านี้หน่อย เขาว่าใช่เลย

“คิดเงินเลยครับ”

ปกติเขาจะจ่ายเงินในจำนวนที่เขาพอใจ แต่วันนี้เกิดอยากให้เธอมาเก็บเงินจากเขาซะอย่างนั้น ท่าจะคิดมากจนประสาทกลับไปแล้ว เขาไม่ชอบรอ แต่ยังนั่งรอพนักงานเพียงคนเดียวของร้านเงียบๆ ทั้งที่เลขาโทรมาตามสามรอบแล้ว เขาก็ยังกดตัดสายทิ้งทุกครั้ง จนเลขาเขาถอดใจไม่โทรมาอีกเลย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel