บทที่ 3 ดวงตาสวรรค์เปิด ดวงดาราเคลื่อน
ภายใต้แสงจันทร์สีเงินยวง ราวกับสวรรค์รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังทั้งหมด นักพรตเสวียนคงสั่งให้คนเคลื่อนย้ายโลงศพหยกขาวไปยังตำแหน่งศูนย์รวมดวงดาว โต๊ะหมู่บูชาถูกจัดวางอย่างรวดเร็วราวกับเสกขึ้นมา พ่อบ้านเซียวไม่กล้าถามอะไรกับนักพรตเสวียนคงมากนัก ขณะเดียวกันสายตาของเขากลับลอบมองไปยังหญิงสาวที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาด้วยความประหลาดใจเป็นระยะ
เห็นได้ชัดว่าตอนเธอถูกพากลับมานั้นสลบไสลไม่ได้สติ ทว่าหลังจากได้รับยาจากนักพรตเสวียนคงไปแล้ว นอกจากบาดแผลจะค่อยๆ สมานกันแล้ว ท่าทางของเธอกลับแตกต่างจากที่เขาคาดคิดไว้โดยสิ้นเชิง
เด็กสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีจะมีความสงบนิ่งเช่นนี้ได้อย่างไร
นี่มันผิดปกติมาก!
ทว่าเขาไม่กล้าพูดอะไรมาก เนื่องจากพิธีกรรมนี้เป็นความหวังเดียวของตระกูลเซียว หากไม่ใช่เพราะเมืองเล็กๆ แห่งนี้มีสถานที่ซึ่งมีฮวงจุ้ยเหมาะสม พวกเขาก็คงไม่ได้พบกับหญิงสาวที่แปลกประหลาดเช่นนี้
โม่ซินโยกศีรษะเล็กน้อยเมื่อแม่สื่อกำลังจะสวมผ้าคลุมหน้าให้ ปฏิกิริยารุนแรงของร่างกายทำให้แม่สื่อสะดุ้งเล็กน้อย อีกฝ่ายมองมาที่นางพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “สาวน้อย สวมผ้าคลุมหน้าแล้วเริ่มพิธีได้
นางเม้มริมฝีปาก เหลือบมองร่างของบุรุษผู้นั้นในโลงหยกขาว เดิมทีนางไม่จำเป็นต้องทำพิธีแต่งงานกับเขา เพราะพิธีกรรมหมิงฮุนแต่เดิมแล้วเป็นการกลบฝังหยินหยางของร่างกายคนตาย เพื่อให้ดวงวิญญาณของสามีภรรยาเดินทางไปยังปรโลกอย่างสงบ ด้วยความสามารถของนางในตอนนี้ การสลายพลังงานแห่งความตายบนร่างกายเขาไม่ใช่เรื่องยาก แต่เมื่อคิดว่ายากนักจะตามหาเขาภพในอนาคต การทำพิธีหมิงฮุนก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์
ท้ายที่สุดแล้วเป็นเพราะนางต้องการทำลายดอกท้อมากมายที่เขาอาจจะสร้างไว้ทั้งด้วยความตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ความเห็นแก่ตัวลึกๆ ทำให้นางยอมให้นักพรตเฒ่าบงการอย่างเต็มใจ
“เนื่องจากนายน้อยเซียวไม่สามารถลุกขึ้นได้ ฉันทำพิธีด้วยการให้บ่าวสาวนอนในโลงหยกขาวแทน” นักพรตเสวียนคงพูด มือถือแส้หางม้าเดินมาที่โม่ซิน “สาวน้อยรีบสวมผ้าคลุมหน้า ใกล้ถึงฤกษ์ยามแล้ว”
โม่ซินรับผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวจากแม่สื่อมาคลุมศีรษะอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นแล้วกลับเข้าไปนอนในโลงหยกขาวอย่างว่าง่าย
เสวียนจีที่ยืนอยู่ไม่ไกลมองที่หญิงสาวชุดแดงด้วยความสนใจ เมื่อนางนอนราบลงไปในโลงศพ ดวงตาของเขาก็พลันเปล่งประกายแปลกๆ โดยไม่รู้ตัว
น่าสนใจ
นักพรตเสวียนคงหยิบโองการฟ้าซึ่งเป็นขั้นตอนการทำพิธีประจำสำนัก ในโองการนั้นเป็นหนังสือแต่งงานแบบโบราณที่มีชื่อบ่าวสาวเขียนไว้ เขาอ่านเนื้อหาพิธีกรรมด้วยน้ำเสียงทุ้มกังวาน แสงจันทร์สีเงินยวงบนท้องฟ้าคล้ายเปล่งประกายตอบรับคำพูด กระทั่งเวลาล่วงเลยไปถึงเที่ยงคืน นักพรตเสวียนคงก็อ่านโองการมาถึงช่วงสุดท้าย “ถึงกาลที่ดวงดาวเปลี่ยนตำแหน่ง เป็นเวลาอันสมควรที่เจ้าบ่าวเซียวลู่หรงและเจ้าสาวเฟิ่งโม่ซินจะใช้ดวงวิญญาณเพื่อสักการะฟ้าดิน”
สิ้นคำพูดนี้ เสวียนจีก็เดินเข้ามาใกล้โต๊ะหมู่บูชา ด้านหลังของพวกเขาคือโลงศพหยกขาวที่มีร่างสองร่างนอนนิ่ง เขาจุดธูปปักลงบนกระถาง หลังจากนั้นก็กรีดปลายนิ้ว โลหิตสีแดงเข้มส่องประกายท่ามกลางความมืด ปลายนิ้วจรดลงบนกระดาษสีเหลืองแผ่นใหญ่คล้ายกับกระดาษยันต์ จากนั้นจึงเขียนตัวอักษรมงคลสำหรับคืนแต่งงาน
นอกจากนั้นยังมีตุ๊กตามนุษย์ดินปั้นสองตัวนอนอยู่หน้ากระถางธูป เขาเขียนอักษรเสร็จ นำไปพันกับตุ๊กตาดินปั้น หลังจากนั้นประกายไฟก็สว่างวาบในฝ่ามืออย่างพิศวง เขากำกระดาษที่ห่อหุ่นดินปั้นไว้แน่น ยื่นมือไปยังอ่างทองเหลืองที่ว่างเปล่า เปลวไฟค่อยๆ แผดเผาสิ่งที่อยู่ในมือเขา ชายหนุ่มร่ายอาคมบางอย่างในลำคอ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง
ผู้คนจากตระกูลเซียวมองเสวียนจีที่ทำพิธีอย่างตกตะลึง คนธรรมดาไม่มีผู้ใดสามารถจับไฟร้อนด้วยมือเปล่า เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง
เสียงสวดบริกรรมคาถาของสองศิษย์อาจารย์ไม่ดังไม่ค่อย ทว่าในคืนอันมืดมิดนั้นกลับเต็มไปด้วยบรรยากาศที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
กระทั่งเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านเที่ยงคืนไป สิ่งที่อยู่ในมือของเสวียนจีค่อยๆ สลายเป็นผุยผง เหลือแต่เพียงเถ้าถ่านจำนวนเล็กน้อยอยู่ในอ่างทองเหลือง
เขาโกยเถ้าใส่ในกล่องขนาดเท่าฝ่ามือสองกล่อง จากนั้นจึงจารึกบนกล่องเป็นชื่อของบ่าวสาว หลังจากเสร็จสิ้นพิธีแล้วกระแสลมฤดูสารทพลันพัดหวีดหวิว ราวกับดวงวิญญาณที่อยู่บริเวณโดยรอบรับรู้ เทียนสีแดงบนโต๊ะขยับไหววูบราวกับจะดับ แต่เพียงสองสามอึดใจก็กลับมาสว่างไสวดังเดิม
นักพรตเสวียนคงควบคุมพิธีกรรมทั้งหมดโดยไม่พูด ใบหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬ หลังจากเสร็จสิ้นพิธีกรรมก็รู้สึกราวกับวิญญาณจะหลุดออกจากร่างได้ทุกเมื่อ
หากไม่มีเสวียนจีในวันนี้ เห็นทีว่าเขาจะต้องแบกรับผลสะท้อนกลับของการทำพิธีต้องห้ามเช่นนี้ ทว่านักพรตเสวียนคงกลับไม่ปริปากแม้สักครึ่งคำ เนื่องจากตระกูลเซียวเคยมีบุญคุณต่อเขา เขาจะไม่ทำให้อีกฝ่ายต้องผิดหวัง
ชายชราเงยหน้าขึ้น มองไปยังทิศเหนืออย่างรู้สถานการณ์ ทันใดนั้นดวงตาที่ราแสงก็พลันเปล่งประกายตื่นเต้น
“ดวงดาวเคลื่อนแล้ว”
พ่อบ้านเซียวได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตากว้างด้วยความดีใจ ทว่าเขาไม่กล้าเข้ามาในสถานที่ประกอบพิธีกรรมจึงได้แต่ยืนรออย่างตื่นเต้น
“เสี่ยวจี นำกล่องตัวแทนไปฝังในหลุมศพ” นักพรตเสวียนคงรีบออกคำสั่ง
“ครับอาจารย์” เสวียนจีทำตามอย่างรวดเร็ว
โม่ซินลืมตาขึ้น สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างจากชายข้างกาย หญิงสาวยันกายขึ้นเป็นท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน เปิดผ้าคลุมหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก ด้วยความใหญ่โตของโลงหยกขาวจึงไม่มีใครมองเห็นสถานการณ์ด้านใน นางเม้มริมฝีปาก เอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย “ลมหายใจนี้ข้าจะฝากเจ้าไว้ก่อน”
ลมหายใจของเทพ เท่ากับพลังงานหนึ่งในสิบของเทพหลังสติตื่นขึ้น โดยมากมีความสำคัญต่อเทพจุติเป็นอย่างมาก เนื่องจากมันมีพลังงานเยียวยาอย่างอัศจรรย์ ทว่าบนร่างของเขาเต็มไปด้วยพลังงานแห่งความตาย พิธีกรรมธรรมดาไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้มากนัก อีกทั้งนางไม่รู้ว่าเมื่อไรจิตเทพของเขาจะตื่นขึ้น เนื่องจากเทพที่ลงมาฝ่าด่านเคราะห์จะไม่เหมือนเทพที่ตั้งใจจุติ บางครั้งก็ได้สติขึ้นมาตั้งแต่เกิด บางครั้งก็อยู่ในวัยหนุ่มสาว หรือบางครั้งกระทั่งตายไปแล้วจึงจะฟื้นสติขึ้นมา
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตอนนี้คนที่นางตามหานอนอยู่ตรงหน้า การรักษาร่างกายของเขาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
นัยน์ตาหงส์หลุบมองริมฝีปากสีเข้มราวกับคนตายของคนตรงหน้า รู้สึกหดหู่เล็กน้อยที่ความงามของเขาถูกทำลาย หากนางทราบว่าผู้ใดเป็นคนวางแผนร้ายนี้ นางสาบานว่าจะลากคอพวกมันออกมาแล้วทุบตีจนตายให้จงได้
ทว่าเมื่อคิดดูอีกทีการที่ได้เห็นเขาอัปลักษณ์เล็กน้อยก็ทำให้หัวใจของนางรู้สึกสมดุลขึ้นบ้าง ใครใช้ให้บุรุษผู้นี้นอกจากรูปงามแล้วจะเย็นชาราวกับก้อนน้ำแข็งเล่า นิสัยรักสันโดษห่างเหินจากผู้คน บริสุทธิ์ดุจภูเขาหิมะในดินแดนหนาวสุดขั้ว แม้กระทั่งนางก็ยังไม่สามารถทำให้เขาหวั่นไหวได้
ทว่านางเป็นใคร?
ยิ่งเขาเย็นชานางยิ่งอยากจะเอาชนะ เพียงแค่คิดว่าวันหนึ่งนางจะได้กลั่นแกล้งเขา หัวใจของนางก็มีความสุข
“หึ...ตอนนี้เจ้าเป็นหนี้บุญคุณข้า”
พูดจบริมฝีปากบางก็ประทับลงบนกลีบปากสีเข้มอย่างนุ่มนวล ไอร้อนสีทองค่อยๆ ไหลจากปากของนางไปยังริมฝีปากสีเข้มของเขาอย่างเชื่องช้า แพขนตาหนาไหวระริก รู้สึกร้อนทั่วใบหน้าเล็กน้อยเมื่อตระหนักได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ กระทั่งเห็นว่าพอประมาณแล้วนางจึงถอนริมฝีปากออก ทว่าสิ่งที่นางต้องการจะทำกลับไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง
“อื้อ!” นางเบิกตากว้างเมื่อริมฝีปากเย็นเฉียบของชายใต้ร่างขยับและดูดริมฝีปากของนางอย่างแนบแน่น นางเก็บลมหายใจคืนแล้ว ทว่าดูเหมือนเขาจะไม่เพียงพอ แขนแกร่งโอบรอบเอวเพรียวแนบแน่นก่อนจะกัดริมฝีปากของนางแล้วแทรกเรียวลิ้นเข้ามาเพื่อควานหาความหวาน
ความหวานอันใด?
ในปากนางมีแต่รสเฝื่อนของยาและกลิ่นโลหิตจางๆ หากแต่เขาดูเหมือนจะไม่สนใจและกวาดต้อนเรียวลิ้นของนางอย่างเร่าร้อน
โม่ซินตัวแข็งค้าง หัวใจเต้นกระหน่ำราวกับกลองรบ แขนของนางเกร็งจนเหน็บชา ทว่าทั้งใบหน้าและลำคอกลับร้อนผะผ่าวราวกับถูกไฟลามเลีย สัมผัสที่เขามอบให้จากร่างกายที่เย็นเฉียบไม่ต่างอะไรจากการสัมผัสก้อนน้ำแข็ง ทว่าเลือดในกายของนางกลับร้อนรุ่มราวกับถูกเปลวเพลิงแผดเผา
โม่ซินรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายดันตัวออกจากเขา นางยกมือแตะริมฝีปากบางแดงที่บวมเจ่อ ใบหน้าแดงก่ำเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวหลุดร่วงไปตั้งแต่ตอนไหนนางไม่ทราบ ทว่าสีหน้าของนางในตอนนี้ ราวกับหญิงสาวที่ถูกสัมผัสอันแสนเย้ายวนเคลือบย้อมนัยน์ตาหงส์โดยไม่รู้ตัว
สิ่งนี้...เรียกว่าจุมพิตหรือเปล่า?
หัวใจของโม่ซินเต็มไปด้วยความวุ่นวาย นางกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก มองร่างที่ไอแห่งความตายได้หายไปนานแล้ว ริมฝีปากสีเข้มค่อยๆ กลายเป็นสีอ่อน ขาวซีดย้อมสีเรื่อราวกับคนเมา เมื่อได้รับลมหายใจแห่งเทพ ร่างกายของเขาก็ฟื้นคืนรัศมีแห่งความมีชีวิตชีวาอย่างรวดเร็ว
นางยกมือกุมหัวใจด้วยความรู้สึกแปลกๆ ครั้งนี้สมองของนางว่างเปล่า แผนการเกี้ยวพาราสีถูกเขากลืนลงท้องไปตั้งแต่เมื่อครู่ ทว่านางกลับรู้สึกวิงเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม
เกิดอะไรขึ้น?
“สาวน้อยรีบลุกขึ้นมาทำไม” นักพรตเสวียนคงรีบเดินเข้ามาเมื่อเห็นว่านางลุกขึ้นนั่ง คนโดยรอบตกใจจนรีบขยับไปกองกันราวกับว่านางเป็นผีไม่ใช่คน
“เขาน่าจะใกล้หายแล้ว ส่งเปิ่นจุนกลับบ้าน” โม่ซินเอามือปิดปาก รูม่านตาขยายด้วยความตกตะลึง
สวรรค์ แม้แต่เสียงของนางยังสั่นเครือราวกับสาวน้อยแรกแย้ม!
นักพรตเสวียนคงคิดว่านางตื่นตระหนกกับพิธีกรรมลึกลับจึงไม่ได้ว่าอะไร เขาเยี่ยมหน้าเข้าไปในโลง ใช้ไฟส่องชายที่นอนนิ่ง ทันใดนั้นก็รู้สึกโล่งใจ เขาหันมายิ้มอย่างใจดีแล้วพูดว่า “สาวน้อย ไม่อยู่กับพวกเราหรือ?”
โม่ซินกะพริบตา ตอนนี้นางผูกมัดตัวเองเข้ากับเขาได้เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อคิดว่าก่อนหน้านี้ถูกคนไร้สติจู่โจมกัดปากโดยไม่ทันตั้งตัวนางก็รีบส่ายหน้าหวือ “ไม่...เปิ่น...ฉันต้องรีบกลับบ้าน”
นักพรตเสวียนคงกะพริบตา สับสนกับท่าทางของนางเล็กน้อย “สาวน้อย สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอไม่ใช่เรื่องปกติ แน่ใจหรือว่าจะกลับบ้าน”
ก่อนหน้านี้เขาสามารถคาดเดาชะตากรรมของนางได้ ทว่าหลังจากดวงดาวเคลื่อนที่ เขาก็ไม่สามารถมองเห็นชะตากรรมของนางได้อีกต่อไป
“ไม่เป็นไร พวกเขาทำอะไรฉันไม่ได้” นางหลุบตาลงต่ำ ซ่อนนัยน์ตาเย็นเยียบเอาไว้อย่างแนบเนียน
ทันใดนั้นชายหนุ่มที่ชื่อเสวียนจีก็เดินมาข้างๆ โลงศพ พูดกับนางว่า “ผมจะไปส่งเธอเอง”
“เฮ้...เดี๋ยวก่อน สาวน้อยคนนี้ช่วยชีวิตนายน้อยของเราไว้ จะรีบจากไปได้อย่างไร สาวน้อย ฉันจะไปส่งเธอที่โรงพยาบาล” พ่อบ้านเซียวเห็นว่าพิธีกรรมเสร็จสิ้นก็รีบเข้ามาใกล้ๆ เขาสังเกตสีหน้าของนายน้อยแล้ว พบว่าไอแห่งความตายได้จางหายไปแล้ว สายตาที่เขามองโม่ซินจึงเต็มไปด้วยความเคารพและสำนึกบุญคุณ
โม่ซินส่ายหน้า จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของนักพรตเสวียนคง “ส่งฉันกลับบ้าน”
นักพรตเสวียนคงชะงัก เขาพยักหน้าในทันใด “ก็ได้ เสี่ยวจีไปส่งสาวน้อยคนนี้”
“แต่นายน้อย” พ่อบ้านเซียวขัดขึ้น
โม่ซินชิงพูดขึ้นก่อนว่า “หากเขาอยากตามหาฉัน มันคงไม่ยากใช่ไหม?”
“...” พ่อบ้านเซียวพูดไม่ออก ด้วยอำนาจของตระกูลเซียว แน่นอนว่านายน้อยสามารถตามหาเธอพบได้ ทว่าการอยู่เพื่อแสดงตัวว่าเป็นผู้มีพระคุณ อาจทำให้เธอมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับนายน้อยแล้วกลายเป็นนายหญิงน้อยที่แท้จริงได้
ทว่าเขากลับไม่กล้าพูดออกมา ท้ายที่สุดผู้คนได้รับการช่วยชีวิต ทว่าเขาไม่สามารถรับประกันได้ว่าสาวน้อยคนนี้จะได้รับตำแหน่งข้างกายนายน้อยอย่างที่พูดออกไป
โม่ซินแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจความคิดของพ่อบ้านเซียว นางหันไปทางเสวียนจีแล้วยิ้มอย่างไร้เดียงสา “พี่ชาย...ไปส่งฉันหน่อยได้ไหม?”
