ตอนที่ 4 – เสียงฝีเท้าในรัตติกาล - 3
ชั้นบนสุดเป็นระเบียงไม้แคบ ๆ โอบโดยตู้เก็บคัมภีร์สูงชะลูด ในช่องว่างเล็ก ๆ ระหว่างตู้และผนังมีช่องลมหรือ หูหนี เปิดสู่หลังคากระเบื้องฟ้า นางย่อตัว ลองสอดฝ่ามือ—ลมหนาวพุ่งปะทะทันที ด้านนอกคือสันหลังคาที่ลาดลงสู่ลานเงียบใต้จันทร์
เสียงปะทะด้านล่างเบาบางลง เหมือนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกำลังถอย เหมยลี่หันกลับลงสายตา—เห็นเพียงเงาร่างหนึ่งยกมีดขึ้นสูง เงื่อนเชือกสะบัดพันเสาค้ำ นางไม่มีทางรู้ว่าใครเป็นใคร ทว่าเวลานี้สิ่งสำคัญคือออกจากที่นี่
นางดันตัวลอดช่อง หูหนี ออกไป รับน้ำหนักบนสันกระเบื้องที่ลื่นเย็นเหมือนครีบปลา ความสูงกัดท้องจนหน่วง นางขยับตัวคืบเล็ก ๆ ไปตามแนวหลังคา มองหาเงาไม้หรือชายคาที่พอจะกระโดดลงโดยไม่หักกระดูก
ด้านล่าง ลานกรวดขาวเงียบงัน เงาหลิวเซิ่ง…ใช่หรือไม่เล่า? เลือนต่ำ ๆ ติดเงากำแพงทิศตะวันตก คล้ายใครบางคนยืนเฝ้ารอ—หรือวางกับดักอีกชั้น
“อย่าไว้ใจเงา” เสียงของชายสวมหน้ากากดังขึ้นจากความทรงจำ “เพราะเงายืนอยู่ได้ก็ด้วยแสงจากฝ่ายตรงข้าม”
เหมยลี่สบถในใจเบา ๆ เลือกทางที่ไม่ใช่เงาคนนั้น แต่เป็นเงาต้นหลิวที่ตนคุ้น—นางสบจังหวะ สไลด์ร่างลงขอบชายคา แล้วปล่อยตัวลงบนกิ่งหลิวหนาที่ยื่นใกล้ผนัง ต้นหลิวสั่นฮือ ใบกระซิบดังกรอบแกรบ นางกอดกิ่งแน่น ใช้แรงเหวี่ยงตัวลงพื้นอย่างเงียบที่สุดเท่าที่หมอยาไร้อาวุธจะทำได้
เท้าแตะพื้นกรวด เสียงเบาเพียงหนึ่งเม็ดกระทบกระเบื้อง นางทรุดตัวในเงา เข็มเงินหนึ่งเล่มปักระหว่างนิ้ว—และเพียงชั่วอึดใจ เงายาวเงาหนึ่งก็ทาบลงมาบนพื้นตรงหน้า ราวกับมีคนยืนบังแสงจันทร์อยู่ด้านหลัง
“เจ้ากล้าดีนัก” เสียงที่คุ้นเคย—เย็น เนี้ยบ ดุจคมมีดที่เพิ่งลนไฟ “ที่หอเก็บตำรา เจ้าได้สิ่งใดมา”
เหมยลี่เงยหน้า แสงเงินขาวฉาบบนใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา—มิใช่หลิวเซิ่ง หากเป็นขันทีผู้เคยขวางนางในครัวตำหนักเมื่อวันก่อน ดวงตาเขามีประกายที่ไม่ปิดบัง ชัง และ ดูแคลน
“ตำราเก่ามีเพียงฝุ่นและรอยหนูแทะ” นางตอบเรียบ “อยากฟังนิทานหรือจึงถามกลางคืน”
เงาอีกเงาหนึ่งขยับจากแนวกำแพง หลิวเซิ่งปรากฏ—คราวนี้เขามาจริง แววตาวูบหนึ่งพาดผ่านหน้าเมื่อแลเห็นขันทีนั้น “เจ้ามาตรวจเวรยามดึกด้วยตนเองหรือ…รองหัวหน้าสำนักใช้สอย”
คนถูกเรียกชื่อยกคิ้ว “ข่าวไวดี”
“หรือเจ้าเดินไวเกินข่าว” หลิวเซิ่งเอ่ยช้า ๆ “ปล่อยนาง—ข้าจะถามเอง”
รองหัวหน้าสำนักใช้สอยหัวเราะหยัน “ขันทีคนโปรด หากอยากกันคน ก็กันในเวลากลางวัน อย่ามาทำเป็นผู้คุ้มครองในยามสาม” เขาก้าวข้างหนึ่ง แสงจันทร์จับเงาพาดยาว “หญิงจากย่านต่ำต้อยคิดจะคุ้ยหอหลวง—ความผิดนี้ พอหรือยังเล่า”
“ความผิดหรือ” เหมยลี่เอ่ยพลางยกคางเล็กน้อย “หอที่ถูกปิดด้วยตราปูนร่วน มีซองผ้าลายเคียวไขว้ซุกอยู่ คงปิดเพื่อกันฝุ่น—หรือกันความจริง”
ประกายบางอย่างฉายวาบในดวงตารองหัวหน้า ผิวหน้าเขาเรียบในชั่วแล่น จากนั้นกลับเป็นยิ้ม “น่าสนใจ—พูดเก่งเช่นนี้ ไม่แปลกที่ได้ใจบางคน”
หลิวเซิ่งขยับกายมาขวางหน้าเหมยลี่เกือบครึ่งก้าว “ข้าพา นาง มาที่นี่เอง ถ้าจะลงโทษ จงลงที่ข้า”
“ยิ่งน่าสนใจกว่าเดิม” คนผู้นั้นก้มมองปลายรองเท้าตนเหมือนกำลังชมเงาของตัวเอง “แต่คืนนี้…ข้าจะทำเพียงถามหนึ่งคำ—หยางอี้เหวิน เจ้าเคยได้ยินหรือไม่”
เลือดในอกเหมยลี่เย็นวาบ ริมฝีปากเกือบหลุดชื่อก่อนสติจะฉุดไว้ นางนิ่ง “ชื่อของผู้ใด ข้าไม่รู้จัก”
“ดี” รองหัวหน้าพยักหน้าเบา ๆ “อย่ารู้จักอะไรที่เจ้าควรลืม” เขายกมือเสยปลายแขนเสื้อ ราวกับปัดฝุ่นที่มองไม่เห็น แล้วหมุนกายจากไปโดยไม่เหลียวหลัง ทิ้งกลิ่นน้ำหอมเย็นชนิดหนึ่งไว้—กลิ่นเดียวกับที่ลอยในหอเก็บตำรา
หลิวเซิ่งรอจนเงานั้นลับพ้นมุมกำแพง จึงผ่อนลมหายใจช้า ๆ “เจ้าบาดเจ็บหรือไม่”
“ไม่” เหมยลี่ตอบทั้งที่ฝ่ามือยังชื้นเหงื่อ “แต่เรามิอาจรั้งอยู่ที่นี่—ตอนนี้ มีคนรู้ว่าเรารู้ชื่อหนึ่งแล้ว”
“หยางอี้เหวิน” เขาทวนชื่อด้วยเสียงต่ำ “ถ้าเช่นนั้น เราต้องตามรอยไปให้สุด”
“เริ่มจากไหน”
หลิวเซิ่งขบคิดชั่วครู่ “จากคนที่ยังมีลมหายใจ…แต่ชอบทำตัวเป็นเงา”
ลมกลางคืนพัดใบหลิวสั่นฮือ เสียงกรวดเบียดกันเบา ๆ เหมือนฟันที่กัดกันแน่น เหมยลี่สอดมือแตะถุงผ้าพิษในอกเสื้อ—ซองตำราในอกหนักดุจคำสาบาน เธอรู้ว่าเส้นทางข้างหน้าจะไม่เหลือที่ให้ถอยอีกแล้ว
จากไกลโพ้นเหนือกำแพง เสียงกลองยามทุบหนึ่งครั้งก้องสะท้อน แล้วจางหายไปกับราตรี เหลือเพียงเงาจันทร์ที่คืบคลานบนพื้นหินเหมือนน้ำเย็นชะล้างรอยเท้าทุกคู่ให้เลือนราง…
และในความเลือนรางนั้น มีเงาอีกเงาหนึ่งยาวกว่าทุกเงา ยืนรออยู่ก่อนหน้าแล้ว
