ตอนที่ 4 – เสียงฝีเท้าในรัตติกาล - 1
ลมยามค่ำคืนพัดลอดเข้าทางหน้าต่างกระดาษซิ่ว แผ่วเบาราวกับมือใครกำลังลูบผ่านต้นคอ เสียงฝีเท้าที่ดังอยู่ด้านนอกยังคงชัดเจน—ไม่ใช่เสียงรีบร้อนของผู้ลักลอบ หากเป็นก้าวเดินช้า ๆ ที่จงใจให้ผู้ในเรือนรู้ถึงการมาของตน
เหมยลี่วางตะเกียงลงบนโต๊ะ ดวงตาสีดำมืดจับจ้องไปยังประตูไม้ที่กำลังเลื่อนเปิดทีละน้อย แสงจากตะเกียงกระทบกับปลายแขนเสื้อไหมสีหม่น ก่อนร่างสูงในชุดคลุมดำจะก้าวเข้ามาเงียบ ๆ
“เจ้ามาอีกแล้ว…” เหมยลี่เอ่ยเสียงเรียบ มือข้างหนึ่งลูบไปที่ตลับเข็มเงิน
ชายผู้นั้นหยุดอยู่ตรงธรณีประตู แสงเพียงน้อยเผยให้เห็นหน้ากากหยกสีขาวปกปิดครึ่งใบหน้า เพียงนัยน์ตาที่ปรากฏ—เย็นชาและไร้คลื่นอารมณ์
“ข้ามิได้มาทำร้าย” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยอย่างชัดถ้อย “หากแต่…มานำข่าวมาให้”
เหมยลี่เลิกคิ้วเล็กน้อย “ข่าวอันใดกันที่ต้องสวมหน้ากากย่องเข้ามากลางดึก”
“ข่าวที่หากเจ้าได้ยินกลางวัน อาจถูกปิดปากไปในทันที”
นางนิ่งไปเพียงชั่วลมหายใจก่อนผายมือไปยังตั่งไม้ “ว่ามา”
ชายสวมหน้ากากก้าวเข้ามา แสงตะเกียงส่องให้เห็นคราบดินแห้งติดตามชายเสื้อ—กลิ่นดินนั้นคุ้นเคยเกินไปสำหรับเหมยลี่ มันคือกลิ่นเดียวกับดินในสวนต้องห้ามที่ซ่างกู๋เคยปลูกอยู่
ชายสวมหน้ากากหยุดยืนเงียบครู่หนึ่ง ราวกับชั่งน้ำหนักระหว่างชีวิตตนกับถ้อยคำที่กำลังจะปล่อยให้หลุดออกมา จากนั้นจึงยกมือซ้ายขึ้นคลายเชือกผูกที่ข้อมือ เผยให้เห็นถุงผ้าสีหม่นเล็ก ๆ ซึ่งถูกปักลายเส้นสองเส้นไขว้กันดุจรูปเคียว
“สัญลักษณ์นี้…” เหมยลี่ขมวดคิ้ว “ข้าเคยเห็นมันที่ใดมาก่อน”
“ย่านรัตติกาล” ชายผู้นั้นตอบเสียงนิ่ง “ร้านขายยามืดที่อยู่ลึกกว่าตรอกดอกเหมย เจ้าเคยผ่านที่นั่นเมื่อสี่ปีที่แล้ว เพื่อขอซื้อ ซ่างกู๋ ชนิดเจือจางสำหรับแก้ลมเพลมพัดให้หญิงชรา—แต่เจ้าถูกปฏิเสธ”
ความทรงจำเก่าผุดวาบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว รอยหน้าต่างไม้ไผ่ที่คดเคี้ยว กลิ่นสมุนไพรที่ไม่คุ้น และดวงตาดำสนิทของชายแก่หลังร้านซึ่งไม่เคยมองหน้าใครตรง ๆ เหมยลี่ไม่พูดโต้ เงี่ยหูฟังต่ออย่างระวัง
“คนที่ควบคุมร้านนั้นในเงามืด” ชายสวมหน้ากากกล่าวช้า ๆ ชัดเจนทุกถ้อยคำ “คือคนเดียวกับที่ดูแลแปลงพิษในสวนต้องห้าม ณ ตำหนักฉินเฟย”
ลมหายใจในอกเหมยลี่ชะงักไปชั่วแล่น “เจ้ามีหลักฐานใด”
เขานำถุงผ้ามาวางบนโต๊ะเบา ๆ นางเปิดดู เห็นผงละเอียดสีเทาเขียว กลิ่นขมฝาดแฝงไอควันจาง ๆ ไม่ใช่ซ่างกู๋ดิบ หากเป็นผงบดที่ผ่านการรมไฟและผสมด้วยใบ จวี้หลัว เพื่อพรางกลิ่น—สูตรนี้ใช่เพียงพ่อค้าเร่ราย จะทำได้ย่อมต้องมีตำราและห้องรมไฟโดยเฉพาะ
“ครัวตำหนักของซือเฟยมิได้ใช้เตารมเช่นนี้” เหมยลี่พึมพำ “แต่ห้องยาของ…ตำหนักใหญ่กว่า ทำได้”
“ตำหนักฉินเฟยมีห้องรม” เขาตอบสั้น “และคนคุมกุญแจมิใช่นาง หากเป็นขันทีผู้รับคำสั่งที่สูงกว่า”
“สูงกว่า…ใครกันที่สูงกว่าสนมเอก”
ชายสวมหน้ากากเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเบาเสียจนแทบเป็นลมหายใจ “ผู้ใกล้บัลลังก์กว่าที่เจ้าคิด”
เหมยลี่หรี่ตา “เหตุใดเจ้าจึงบอกข้า”
“เพราะเมื่อครู่ เจ้าถามว่าทำไมกลางวันจึงพูดไม่ได้” เขาเงยหน้าเล็กน้อย เงาไฟสะท้อนบนเนื้อหยก “กลางวันมีตาผู้คน กลางคืนมีแต่เงา—และเงาย่อมซ่อนคนได้ดี”
“แล้วเจ้าเป็นเงาของผู้ใด”
“เป็นเงาที่เบื่อจะเป็นเงา” เขาตอบ ราวกับยิ้มใต้หน้ากาก “และอีกประการ—ข้าติดหนี้ชีวิตผู้ใดผู้หนึ่ง ที่อยากให้ชดใช้เสียที”
คำพูดนั้นทิ้งรอยระลอกในใจเหมยลี่ นางปิดถุงผ้าช้า ๆ เงยหน้าขึ้นอย่างสงบ “ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงบอกให้จบ—คืนนี้ ข้าควรไปที่ใด”
“หอเก็บตำราเก่า ตำหนักสายน้ำจันทร์” เขาเอ่ยชื่อที่แทบไม่มีใครปริปากเรียกในวังหลัง “ยามสาม ประตูด้านทิศเหนือจะเปิดครึ่งคืบ แล้วจะปิดอีกครั้งในหนึ่งก้านธูป จากนั้นเจ้าจะเข้าไปไม่ได้อีก”
“ผู้ใดจะเปิดประตู”
“คนที่ไม่อยากให้ใครเห็นหน้าเขา”
เหมยลี่กำลังจะถามต่อ เสียงฝีเท้าหนักก็ดังขึ้นจากนอกชาน—หนักและเร็ว คล้ายยามตรวจเวรเปลี่ยนผลัด ชายสวมหน้ากากเหลือบมองประตูแล้วถอยหลังอย่างไร้เสียง เขายื่นบางสิ่งมาวางบนขอบตั่ง—เป็นเศษไม้ไผ่สั้น ๆ ฝังเส้นเงิน
“ถ้าถูกจับได้ จงทำหล่นที่พื้น” เขากระซิบ “คนของข้าจะเห็นสัญญาณ”
“ข้าควรเชื่อเจ้าหรือ”
เขาไม่ตอบ เพียงก้าวถอยเข้าความมืดเหมือนหยดหมึกซึมหายไปในกระดาษ ประตูเลื่อนปิดพอดีกับที่เงายามเดินผ่านหน้าต่าง เสียงหอกเคาะพื้นหินดังสามครั้งเป็นสัญญาณเปลี่ยนยาม แล้วทุกอย่างก็กลับสู่ความเงียบอีกครา
