ตอนที่ 2 – เงาน้ำใต้สะพานมังกรขาว
ท่าเมฆเหนือในยามค่ำไม่ได้เงียบสงบอย่างที่ชื่อเรียกให้ความรู้สึก หากแต่เต็มไปด้วยเสียงระฆังเรือ เสียงตะโกนเรียกลูกค้า และกลิ่นหอมฉุนของหมูแดงย่างจากแผงอาหารริมท่า ผู้คนจากหลายแคว้นปะปนกันไปมา—ผ้าไหมหลากสีจากใต้หล้า พ่อค้าผิวคล้ำจากแผ่นดินตะวันตก และทหารลาดตระเวนในชุดเกราะประดับตรามังกรขาวของวังหลวง
เหมยลี่ก้าวลงจากเรือพร้อมหลิวเซิ่งและหานอวิ๋น ร่างเล็กของเธอซ่อนอยู่ในเสื้อคลุมตัวยาวสีน้ำหมึก เพื่อไม่ให้สะดุดตาท่ามกลางฝูงชน เธอเงยหน้ามองสะพานโค้งที่ทอดข้ามแม่น้ำไปยังเขตในของเมือง—สะพานมังกรขาว สร้างจากหินอ่อนสีขาวผ่องจนเมื่อแสงตะเกียงสะท้อน ก็เหมือนเกล็ดมังกรเคลื่อนไหวกลางความมืด
“ถ้วยที่หกเคยผ่านที่นี่?” เธอถามหานอวิ๋นทันทีที่พ้นจากกลุ่มคนหนาแน่น
“ไม่ใช่แค่เคยผ่าน” เขายกมุมปาก “แต่เคยเป็น ‘ของกลาง’ ที่ทางการยึดไว้ แล้วหายไปในคืนเดียว”
หลิวเซิ่งชะงัก “หาย…ภายใต้การคุ้มกันของมังกรขาว?”
“ใช่” หานอวิ๋นหันสายตาไปทางหอคุมที่ปลายสะพาน “เพราะฉะนั้นถ้าเจ้าจะตามหา อันดับแรกต้องรู้ว่าใครเป็นคนเฝ้ามันในคืนนั้น”
ฝนปรอยเริ่มตก เสียงหยดน้ำกระทบพื้นหินดัง แปะ…แปะ… ละอองฝนทำให้แสงตะเกียงกระจายเป็นวงมัว เหมยลี่รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวตามพวกเธอในระยะที่พอดีจะไม่ถูกสังเกต—น้ำหนักฝีเท้าสามชุด ต่างกันทั้งจังหวะและน้ำหนัก แต่คงระยะเท่ากันอย่างน่าประหลาด
“เรามีคนติดตาม” เธอกระซิบ หลิวเซิ่งเพียงขยับมือไปแตะดาบข้างเอว หานอวิ๋นหัวเราะแผ่ว “ท่าเมฆเหนือ ไม่มีใครก้าวเข้ามาโดยไม่มีคนคอยจดจำหน้า”
ทั้งสามเลี้ยวเข้าสู่ตรอกแคบด้านข้างสะพาน ที่พาไปยังโรงน้ำชาซึ่งเปิดไฟสว่างแม้ฝนจะตก ผ้าม่านหน้าร้านปักลายดอกโบตั๋นสีทองโอบประตูไว้คล้ายรอยยิ้มของหญิงสาวที่ซ่อนความลับ เหมยลี่รับรู้ทันที—ที่นี่ไม่ใช่เพียงโรงน้ำชา แต่เป็นหนึ่งใน “จุดแลกเปลี่ยนข่าวสาร” ของเครือข่ายลับ
ทันทีที่พวกเขาก้าวเข้า เสียงกลองมือและพิณก็ประสานกันอย่างนุ่มนวล กลิ่นชาอบกลีบเหมยหอมหวานแผ่วราวกับจะลบล้างกลิ่นคาวของแม่น้ำออกจากใจ แขกในร้านมีเพียงไม่กี่โต๊ะ แต่ทุกสายตาหันมามองพวกเขาเพียงชั่ววินาทีก่อนจะหันกลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น—นั่นยิ่งยืนยันว่า พวกเขามาถูกที่
หานอวิ๋นยื่นเหรียญทองคำหนึ่งให้สาวใช้ “บอกคุณนายเจินว่า แขกของลมหายใจหมอก มาถึงแล้ว”
สาวใช้พยักหน้าและหายไปหลังม่าน ภายในอึดใจ เสียงฝีเท้าหนักและช้าอย่างจงใจดังมาจากด้านใน—ฝีเท้าที่คุ้นเคยกับการทำให้คนฟังลืมหายใจ ทุกสายตาในร้านเงียบลงราวกับกลองถูกหยุดตีกะทันหัน
และเมื่อม่านเปิดออก…ผู้หญิงในชุดกำมะหยี่สีแดงหม่นปรากฏตัว ดวงตาเรียวยาวของเธอกวาดมองเหมยลี่เพียงครู่ ก่อนริมฝีปากจะโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่บอกได้ชัด—เธอรู้จักชื่อของ ถ้วยที่หก ดีเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด.
คุณนายเจินนั่งลงอย่างสง่างาม ร่างของเธอราวกับประติมากรรมชิ้นงามที่ถูกหล่อขึ้นจากราตรีและควันชา ผมดำม้วนสูงประดับปิ่นทองรูปดอกโบตั๋น แสงตะเกียงสะท้อนประกายโลหะจนดูเหมือนดอกไม้กำลังเบ่งบานกลางเปลวไฟ
“ลมหายใจหมอก…” เธอเอ่ยช้า ๆ เสียงนุ่มลึกดุจน้ำชาแก่ที่ผ่านการต้มหลายครา “ตั้งแต่คืนงานเลี้ยงวันสารท ข้าก็รอให้เจ้ามาเคาะประตู ข้าเดาได้ว่าไม่ใช่เพราะคิดถึงหรอก—แต่เพราะ ‘ถ้วยที่หก’ ใช่หรือไม่?”
คำพูดนั้นทำให้เหมยลี่เลิกคิ้วเพียงเล็กน้อย ก่อนเธอจะยกถ้วยชา ดื่มเพื่อลดร่องรอยความประหลาดใจ “ดูเหมือนท่านจะรู้จักมันมากกว่าคนทั่วไป”
คุณนายเจินหัวเราะเบา ๆ “ในท่าเมฆเหนือ ไม่มีสิ่งใดลอยเข้ามาโดยข้าไม่รู้…โดยเฉพาะสิ่งที่เคยถูกตรามังกรขาวปิดผนึก”
หลิวเซิ่งเอื้อมหยิบถ้วยชา วางลงดัง กึก “และถ้าข้าอยากรู้ว่ามันอยู่ที่ไหนตอนนี้ล่ะ?”
คุณนายเจินเอนหลัง ดวงตาสีเข้มลึกราวกับมีม่านควันบาง ๆ ปิดบังความคิด “มันเคยผ่านมือนักสะสมเงาคนหนึ่ง—ชายที่ซื้อทุกสิ่งเพียงเพื่อซ่อนไว้ในที่ที่ไม่มีใครกล้าหา”
“ชื่อ?” หานอวิ๋นถามทันที
“เขาเรียกตัวเองว่า เซี่ยหรง” เธอเอ่ยเสียงต่ำเหมือนกลัวให้ชื่อหลุดลอดกำแพงออกไป “เขาไม่ใช่พ่อค้า ไม่ใช่ขุนนาง แต่ทุกคนที่ติดหนี้เขาล้วนมีเลือดไหล…”
เหมยลี่นิ่งไปชั่วครู่ เธอเคยได้ยินชื่อนี้—ในฐานะเงาที่สั่งการได้ทั้งตลาดมืดและคนในวัง “เขาอยู่ที่ไหน?”
คุณนายเจินยิ้มราวกับได้ยินคำถามที่เธอรอ “สะพานมังกรขาวมีเส้นทางใต้ดิน—ช่องทางเก็บสินค้าของขุนนาง แต่ตอนนี้เป็นรังของเขา”
ก่อนที่พวกเขาจะได้ถามต่อ เสียงประตูโรงน้ำชาก็ถูกผลักเปิดอย่างแรง ลมเย็นพัดเข้ามาพร้อมเสียงฝีเท้าหนักและกลิ่นเหล็กจากอาวุธ ทหารในเกราะมังกรขาวสามนายก้าวเข้ามา สายตากวาดมองหาบางสิ่ง—หรือบางคน
สายตาหนึ่งหยุดลงที่เหมยลี่ ราวกับได้พบเหยื่อที่ซ่อนอยู่ในฝูงชน น้ำเสียงเข้มของหัวหน้าทหารประกาศ “คนจากวังหลวง สั่งให้จับตัวนาง—เดี๋ยวนี้!”
เสียงเก้าอี้ลากกับพื้นไม้ดัง ครืด แขกหลายคนรีบก้มหน้า บางคนลุกออกไปจากโรงน้ำชาอย่างไม่หันกลับมามอง เหมยลี่ขยับมืออย่างแนบเนียนไปแตะข้อมือหลิวเซิ่ง—สัญญาณที่ทั้งคู่เคยใช้ในวังหลวงยามต้องลอบหลบหนี
“จับนาง!” หัวหน้าทหารตะโกนอีกครั้ง ขณะสองนายพุ่งตรงเข้ามา
คุณนายเจินไม่ขยับแม้เพียงนิด ราวกับการมาของทหารเป็นเพียงอีกการแสดงหนึ่งในโรงน้ำชาของนาง ดวงตาเรียวยาวเพียงเหลือบมองเหมยลี่และเอื้อมไปรินชาใหม่ลงถ้วยของตน “ประตูหลัง ทางขวา…วิ่ง” เสียงกระซิบเบาราวกลีบดอกโบตั๋นร่วง
หลิวเซิ่งคว้าข้อมือเหมยลี่ในจังหวะที่ทหารยื่นมือมาจะจับ เธอฉวยโอกาสใช้ถ้วยชาสาดใส่หน้าอีกฝ่าย น้ำร้อนทำให้เขาผงะพอเปิดทางให้ทั้งคู่กระโจนออกจากโต๊ะ หานอวิ๋นลุกขึ้นตวัดผ้าคลุมใส่หัวทหารอีกคน ก่อนถีบเก้าอี้ล้มขวางทาง
เสียงดาบกระทบพื้นไม้ดัง เคร้ง! เมื่อหนึ่งในทหารชักอาวุธตาม แต่หลิวเซิ่งใช้ปลอกดาบปัดออกแล้วดึงเหมยลี่วิ่งผ่านม่านด้านหลังที่มีกลิ่นชาแรงฉุนซ่อนอยู่
ประตูหลังเปิดออกสู่ตรอกมืดที่เปียกฝน น้ำขังสะท้อนเงาสะพานมังกรขาวเหนือหัว พวกเขาวิ่งไปไม่กี่ก้าวก่อนจะเห็นเงามืดหลายสายขวางทาง—ไม่ใช่ทหาร แต่เป็นคนในชุดดำที่ไร้ตราสังกัด
“เซี่ยหรงรู้ว่าเจ้าจะมา” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากในความมืด “เขาส่งพวกข้ามารับ”
คำว่า รับ ในปากชายแปลกหน้าฟังดูเย็นเยียบกว่าฝนที่ไหลลงคอเหมยลี่ เสียงฝีเท้าทหารจากโรงน้ำชาก็กำลังไล่ตามมาด้านหลัง สถานการณ์บีบให้เหลือเพียงสองทาง—พุ่งฝ่าไปข้างหน้าสู่เงามืดของคนของเซี่ยหรง หรือหันกลับไปปะทะกับทหารมังกรขาว
หลิวเซิ่งเหลือบมองเหมยลี่ เพียงพริบตาหนึ่งทั้งคู่ก็เข้าใจตรงกัน—เลือกเงามืดที่ไม่รู้จัก ดีกว่าความแน่นอนที่หมายถึงพันธนาการ
พวกเขาวิ่งทะลุกลุ่มชายชุดดำ เสียงฝีเท้ากระทบแอ่งน้ำดังสาดสะท้อนก้องในตรอก ก่อนทุกอย่างจะมืดลงเมื่อประตูเหล็กบานหนึ่งถูกปิดปังหลังพวกเขา ทิ้งเพียงเสียงฝนและความเงียบงันไว้ด้านนอก
และในความเงียบนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นจากในเงามืด—นุ่ม ทว่าเต็มไปด้วยอำนาจที่กดทับอากาศรอบตัว
“ยินดีต้อนรับ…สู่อาณาเขตของข้า”