บทย่อ
เมื่อประตูวังหลวงปิดลง เหมยลี่กลับพบว่าประตูอีกบานได้เปิดสู่โลกที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่า — “ท่าเมฆเหนือ” เมืองท่าอันเต็มไปด้วยเงาของการค้าต้องห้ามและพันธะเลือดที่ผูกพันคนทั้งในและนอกวัง บนเส้นทางน้ำมืดมิด กลิ่นโบตั๋นดอกเดียวลอยนำทาง เธอและหลิวเซิ่งต้องฝ่ากองเรือเงา นักล่าเงินรางวัล และพ่อค้าที่พร้อมขายทุกความลับเพียงเพื่อทองหนึ่งแท่ง ทว่า ในเงามืดของคลื่นทะเล มีผู้หนึ่งกำลังรอเรียก “ชื่อ” ของเธอให้ครบสามครั้ง… และเมื่อถึงวาระนั้น ไม่ว่าหลบหนีไปไกลเพียงใด ก็ไม่มีทางหลุดจากพันธะที่ถูกผูกไว้ตั้งแต่ก้าวแรกในวังหลวง
ตอนที่ 1 – คลื่นแห่งท่าเมฆเหนือ - 1
ลมกลางแม่น้ำค่ำพัดแรงจนผ้าคลุมของเหมยลี่สะบัดเป็นสาย เสียงผ้าปะทะกับลมดัง ฟึ่บ…ฟึ่บ คล้ายสัญญาณเตือนที่ดังอยู่ข้างหูตลอดเวลา กลิ่นคาวของแม่น้ำผสมกลิ่นน้ำมันจากตะเกียงลอยวนรอบตัว แสงตะเกียงส่องเป็นเส้นยาวไหวบนผิวน้ำเหมือนงูไฟเลื้อยท่ามกลางความมืด
เรือสำเภาที่พวกเธอโดยสารไม่ใหญ่ไปกว่าบ้านชั้นเดียว แต่ในยามนี้มันคือกำแพงสุดท้ายที่ขวางระหว่างพวกเธอกับความตาย รอบข้างเงียบจนได้ยินเสียงฟืนแตกเบา ๆ จากเตาไฟของคนแจวท้ายเรือ หลิวเซิ่งยืนพิงเสากระโดงไม้เก่า เงาของเขาทาบยาวลงบนพื้นดาดฟ้า เขามองออกไปยังทิศทางลม ดวงตานิ่งราวกับกำลังวัดจังหวะของหัวใจใครสักคนในความมืด
เหมยลี่ก้าวเข้ามาใกล้ “ยังตามอยู่หรือ?” เสียงเธอต่ำจนแทบกลืนไปกับเสียงน้ำ
หลิวเซิ่งไม่หัน แต่พยักหน้าช้า ๆ “เรือเงา…พวกนั้นไม่ใช้ตะเกียง”
เพียงได้ยินชื่อ เรือเงา ความหนาวเย็นก็ไต่ขึ้นสันหลังเหมยลี่ แม้ลมจะตีแรง แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนหยดเหงื่อเย็นกำลังซึมออกจากฝ่ามือ หากเล่ากันในหมู่นักเดินเรือ เรือเงาเป็นตำนานที่ไม่มีใครอยากพิสูจน์จริง พวกมันคือเงามืดของแม่น้ำ รับงานฆ่าในที่ที่ไม่มีใครช่วยเหลือ และไม่เคยเหลือซากทั้งเหยื่อและเรือที่พวกเขาแตะต้อง
แม่น้ำค่ำนี้กว้างพอให้แสงจากตะเกียงของเรือสำเภาไม่อาจแตะถึงฝั่ง คลื่นที่ควรซัดกระแทกกลับนิ่งผิดปกติ ราวกับแม่น้ำทั้งสายกำลังกลั้นลมหายใจ รอเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น เสียงไม้พายจากเรือที่ตามมานั้นไม่ดังเลย แต่หลิวเซิ่งรู้ว่ามันอยู่ตรงนั้น — ราวกับสัตว์นักล่าที่ซ่อนตัวใต้ผิวน้ำ เฝ้ารอเหยื่อว่ายผ่านมาใกล้
“เรือจะถึงท่าเมฆเหนือพรุ่งนี้เช้า” หลิวเซิ่งเอ่ยขณะปลดมีดสั้นด้ามเงินจากเอว แล้วยื่นให้เหมยลี่ “ก่อนถึงนั่น…อาจมีเลือด”
เหมยลี่รับมีดมาโดยไม่ถามต่อ ใบมีดเย็นเฉียบจนฝ่ามือชา เธอไม่เคยชอบการฆ่า แต่รู้ดีว่าบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยคนพร้อมพรากลมหายใจเพื่อผลประโยชน์ของตน การทำให้มือเปื้อนเลือดบ้างก็เป็นเพียงค่าโดยสารไปยังวันถัดไป
เบื้องหลัง เสียงไม้พายเพียงหนึ่งจังหวะดังขึ้น ก่อนจะเงียบลงอีกครั้ง ทำให้หัวใจของทั้งสองเต้นชัดเจนขึ้นในหู ลมพัดแรงขึ้น เหมือนกำลังเร่งเรือทั้งสองลำเข้าสู่ฉากที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้…
เสียงคลื่นทุบบ่าของเรือไม้เป็นจังหวะที่เริ่มถี่ขึ้นทีละนิด เหมือนมีใครคอยเร่งหัวใจของทุกคนบนดาดฟ้าให้ช้ากว่าน้ำไม่ได้อีกต่อไป คนแจวท้ายเรือชื่ออากู่ค้อมตัวต่ำแนบหางเสือ ใบหน้าปะทะไอลมจนผมขาวกระพือ “ลมเปลี่ยนทิศ” เขาพึมพำ “เจ้าคลื่นหุบตรงปากธาร จะมีพวยน้ำวน—ถ้าถูกลากเข้าไป เราจะเป็นเหยื่อโง่สำหรับเรือเงา”
หลิวเซิ่งไม่เสียเวลา เขาปลดเชือกม้วนเล็กจากเสากระโดง ยื่นให้เหมยลี่ “มัดชายเสื้อไว้ จะได้ไม่เกี่ยวขอบเรือ” ขณะเดียวกันเขาเอื้อมไปเก็บไหดินกลมขนาดฝ่ามือจากกองสัมภาระ—ไหดับควันที่ใช้ในครัวเรือยามเกิดไฟลุกจากเตาน้ำมัน “ถ้าพวกมันยิงไฟ—แตกไหนี้ทันทีแล้วปาดน้ำใส่”
“เราไม่มีคนพอจะสู้ประชิด” เหมยลี่เอ่ย เธอเก็บมีดด้ามเงินไว้ชิดข้อมือ แล้วล้วงถุงผ้าบางใบออกมาจากอกเสื้อ ภายในมีสมุนไพรบดหลายชนิด เธอคัดปลายยาดมกลิ่นฉุน—ผงกานพลูผสมน้ำมันเปลือกส้มและใบเสจ—“ให้ลูกเรือสูดไว้ จะได้ไม่ง่วงกับอากาศชื้น” เธอว่า ก่อนส่งให้คนงานสองคนที่ซ่อนตัวหลังหีบไม้
จังหวะนั้นเอง ก้านเสากระโดงสั่นฮือเบา ๆ คล้ายมีอะไรสัมผัสเงียบ ๆ จากทางทิศหลัง “ตะขอ” หลิวเซิ่งพูดทันที อีกหนึ่งหายใจให้หลัง เสียงโลหะฉีกไม้ก็ดัง กร๊อบ ตะขอเหล็กเกี่ยวขอบเรือไว้แน่น เงาดำโผข้ามน้ำขึ้นมาราวปีศาจน้ำ เมื่อตีนแตะพื้นดาดฟ้าเงานั้นไม่พูดแม้คำเดียว มีดโค้งปลายงอนสะท้อนแสงตะเกียงสายเดียวในเรือเป็นเส้นวูบ
เหมยลี่ถอยหนึ่งก้าวตามธรรมชาติ ไม่ใช่เพราะหวาด แต่เพื่อให้พื้นที่กับหลิวเซิ่ง—ผู้ก้าวแทรกขึ้นหน้าเธอทันที ใบพัดไม้ไผ่ในมือเขาฟาดสั้น ๆ ปักเข้าข้อมือคนรุกจนมีดหลุดกระแทกกระดาน “อีกฝั่ง!” อากู่ร้อง—ตะขอเหล็กอีกสองตัวปักลงขอบเรือพร้อมกัน เงามืดสามเงากระโดดขึ้นมาจากน้ำ เงียบ เสียยิ่งกว่าเงียบ ทั้งที่รองเท้าหนังควรจะลื่นและกระแทกพื้น
จังหวะนั้นเหมยลี่ไม่อธิบายอะไร เธอดึงผ้าห่อสมุนไพรอีกชุด—ผงสะระแหน่ปนผิวส้มแห้ง—ขยี้กับน้ำทะเลบนฝ่ามือแล้วเหวี่ยงขึ้นเหนือศีรษะ ละอองกลิ่นเย็นจัดแตกตัวในลมและย้อนเข้าหน้าคนรุก พวกมันส่ายหัวเพียงนิด—พอให้หลิวเซิ่ง “เห็นช่อง” ชั่วช่างปะติดปะต่อ เขาหมุนตัวต่ำ ดันช่วงเข่าคนแรกให้ล้มไปกระแทกเสา จากนั้นฟันสั้นเฉือนเส้นเชือกตะขอจนสปริงคลาย ปึ่ก ตะขอหลุดกระแทกผิวน้ำดังตุบหนัก ๆ เรือไหววูบ แต่ยังไม่เสียสมดุล

