ตอนที่ 1 – คลื่นแห่งท่าเมฆเหนือ - 3
เงามืดชะงัก ขณะที่ช่องน้ำด้านหน้ากว้างออกเป็นอ่าวเล็ก—ม่านหมอกบางปกคลุมเหนือผิวน้ำ และไกลออกไป เสาไฟ ประภาคารเมฆเหนือ โผล่เด่นเหมือนกระดูกสันหลังของยักษ์ หานอวิ๋นผ่อนตะกุกตะกัก “เข้าสู่คุ้มหมอกแล้ว—จากนี้ไป ถ้าพวกมันไม่ใช่นกทะเล ก็สู้สายตาเราไม่ไหว”
เขาหันมายิ้มเอื่อย ๆ ให้เหมยลี่ “ค้างชำระ ‘คำถามหนึ่งข้อ’ ของข้า อย่าลืม—โบตั๋นเดียวดอกบนแขนเจ้าบอกว่าค้นหาเดียวกัน ข้าจะถามให้คุ้ม”
เหมยลี่ไม่ได้ยิ้มตอบ เธอเพียงเหลือบไปทางประภาคาร—บนระเบียงสูงสุด เงาร่างเล็กสูงโปร่งยืนกุมไม้เคาะฆ้อง ใบหน้าไม่เห็นชัด แต่แววตาวาวเย็นจนหมอกไม่บัง เธอจำลักษณะนั้นจากบัญชีฉายาของท่าเมฆเหนือ… หนึ่งในสี่พิษ ผู้ฉายา “นางฆ้อง”—ผู้ที่ทำให้ชื่อของใครก็ได้ “ครบสาม” ด้วยจังหวะเดียว
ลมหายใจของมังกรโบตั๋นในอกเต้นแรงขึ้นจังหวะเดียวกับคลื่นที่ถาโถมเข้ามา เหมือนเตือนว่าคืนนี้ยังไม่จบ—และคำถามของหานอวิ๋น…อาจเป็นราคาที่เราไม่มีทางต่อรองได้อีกแล้ว.
ม่านหมอกที่หานอวิ๋นเรียกว่า คุ้มหมอก ไม่ได้เป็นเพียงไอน้ำธรรมชาติจากคลื่นกระแทกโขดหิน หากแต่มีความหนาแน่นผิดปกติ กลิ่นสมุนไพรแผ่วลอยในลม เหมยลี่สูดเพียงน้อยแล้วรู้ทันที—นี่คือกลิ่น ฮ่วยซัวผสมหญ้าหอมทะเล สองสิ่งที่เมื่อเผาให้ควันพุ่งขึ้น จะปกปิดร่องรอยกลิ่นเหงื่อและโลหิตได้แทบสมบูรณ์
“เจ้าคงไม่คิดว่าคุ้มหมอกของข้าคือหมอกธรรมชาติจริง ๆ ใช่ไหม” หานอวิ๋นหัวเราะในลำคอขณะคุมเรือให้แล่นเข้าสู่ความขุ่นมัว “มันคือหมอกที่มี ความจำ …มันจำว่าใครเคยผ่านและใครไม่ใช่”คำพูดนั้นทำให้เหมยลี่ขมวดคิ้ว เธอเคยได้ยินตำนานคล้ายกันเกี่ยวกับ คุ้มหมอก—ว่าหากใครไม่เคย “ฝากลมหายใจ” เอาไว้ในนี้ หมอกจะเบี่ยงหนีไม่ให้ล่องต่อ หรือในบางกรณีก็โอบรัดจนสำลัก
“แล้วถ้าเราไม่เคยผ่านมา?” หลิวเซิ่งถามเสียงนิ่ง แต่สายตาแฝงแผนสำรองอยู่แล้ว
“ง่ายนิดเดียว” หานอวิ๋นหันมา ยื่นถุงผ้าเล็กให้ทั้งคู่ “สูดลมหายใจนี้ก่อน แล้วหมอกจะจำพวกเจ้าในนามของข้า—อย่างน้อยคืนนี้”
เหมยลี่รับถุงมา เปิดออก กลิ่นสมุนไพรผสมเกลือทะเลกับเถ้าดอกโบตั๋นจาง ๆ พุ่งขึ้นทันที เธอสูดเพียงครึ่งลมหายใจ เพราะรู้ดีว่าอะไรก็ตามที่หมอก “จำ” ได้ ก็เท่ากับฝากร่องรอยไว้ให้เจ้าของหมอกติดตามได้ในอนาคต หลิวเซิ่งทำเช่นเดียวกัน แต่จับจ้องหานอวิ๋นอย่างคนรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำบุญฟรี
ขณะที่เรือแล่นลึกเข้าไป เสียงระฆังของประภาคารด้านนอกก็หายไปสิ้น เหลือเพียงเสียงน้ำกระทบเรืออย่างนุ่มนวลผิดธรรมชาติ เหมือนหมอกกลืนเสียงทุกอย่างจนเงียบสนิท แม้แต่หัวใจตัวเองยังได้ยินชัดเกินไป
“ระวัง” เหมยลี่เตือนเบา ๆ เธอเห็นเงาดำสูงบางเคลื่อนไหวใต้ผิวน้ำ คล้ายเสาไม้แต่ขยับช้า ๆ ติดตามเรืออย่างเงียบเชียบ
“มันไม่ใช่ปลา” อากู่พึมพำจากท้ายเรือ มือจับหางเสือแน่น “มันคือ เสาเฝ้าทาง ของหมอก—ถ้าไม่ใช่เรือของคนใน พวกมันจะโผล่ขึ้นมาขวาง”
ไม่ทันจบประโยค เสาเฝ้าทางหนึ่งโผล่พ้นผิวน้ำ ร่างยาวสีเทาอมเขียวขยับขึ้นมาเผยให้เห็นว่าแท้จริงคือหุ่นไม้สลักรูปมนุษย์ยืนบนแพกลม ข้อต่อถูกเชื่อมด้วยเส้นเถาวัลย์ชุ่มน้ำเกลือ ดวงตาเป็นเปลวไฟสีฟ้าจาง ๆ แม้ไม่มีลมก็ไม่ดับ
หุ่นนั้นหันหน้ามาทางเรือ จ้องตรงมายังเหมยลี่ ราวกับรับรู้บางอย่าง—และก้าวแรกของมันทำให้ผิวน้ำแตกเป็นวง “มันไม่เปิดทาง” อากู่สบถ “แปลว่าเรา—”
“—ไม่ใช่คนใน” เหมยลี่ต่อคำ ขณะเอื้อมหยิบขวดเล็กจากกระเป๋าหนัง เธอเปิดฝา ขว้างของในนั้นลงน้ำ—ผงสมุนไพรผสมเกลือสีทองที่เมื่อตกน้ำก็แตกเป็นแสงระยิบคล้ายฝูงแพลงก์ตอน “ให้มันจำเราจาก ลมหายใจ ไม่ได้ ก็ให้จำเราจาก กลิ่น แทน”
แสงทองจากผงนั้นค่อย ๆ คลี่ออกเป็นวงกว้าง หุ่นเฝ้าทางหยุดขยับ เปลวไฟในตาเปลี่ยนเป็นสีขาวนวลราวกับสงบลง ก่อนมันจะค่อย ๆ ล่าถอยและจมหายไปใต้หมอกอีกครั้ง
หานอวิ๋นหันมามอง ยกคิ้วขึ้นสูง “เจ้าทำได้ยังไง?”
“คนเฝ้าทาง—ต่อให้เป็นไม้และหมอก—ก็ยังมีสัญชาตญาณเหมือนสัตว์ หากให้กลิ่นที่มันรู้จักปลอดภัย มันก็จะถอย” เหมยลี่ตอบสั้น ๆ แล้วเก็บขวดเปล่าเข้ากระเป๋า
เมื่อพ้นเสาเฝ้าทาง หมอกก็เริ่มบางลง เส้นแสงจากโคมไฟน้ำมันบนฝั่งไกล ๆ ทอมาเหมือนเส้นด้ายทองกลางความมืด และตรงนั้น—คือท่าเมฆเหนือ
แต่ก่อนที่เรือจะเทียบ หานอวิ๋นก็หันมาหาเหมยลี่อีกครั้ง “ข้าจะใช้สิทธิ์ถาม ‘คำถามหนึ่งข้อ’ ตอนนี้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ทำให้แม้แต่หลิวเซิ่งยังหยุดขยับ
“ถามมา” เหมยลี่ตอบ ทั้งที่รู้ดีว่าไม่ว่าคำถามจะเป็นอะไร มันจะเกี่ยวกับสิ่งที่เธอพยายามปกปิดมาตลอด
หานอวิ๋นยื่นหน้าเข้ามาใกล้พอให้กลิ่นสมุนไพรจากเสื้อเขาแตะจมูกเธอ “เจ้ากำลังตามหา ถ้วยที่หก อยู่ใช่หรือไม่—และเจ้ารู้หรือไม่ว่ามันเคยอยู่ที่นี่ ก่อนจะถูกใครบางคนพาออกไป?”
คำว่า ถ้วยที่หก ทำให้เหมยลี่ชะงักลมหายใจ เธอเหลือบไปทางหลิวเซิ่งซึ่งสายตาแข็งขึ้นทันที หมอกที่เคยบางกลับเหมือนข้นขึ้นอีกครั้ง แม้จะใกล้ฝั่งเต็มที ก็รู้ได้ว่า คืนนี้…เพิ่งเริ่มเท่านั้น.
