ตอนที่ 3 — เพลงระฆังสามพยางค์
ประตูเหล็กใต้สะพานมังกรขาวเลื่อนปิด กึก ทิ้งความเงียบหนักราวน้ำท่วม ทั้งสามคนยืนหายใจท่ามกลางอากาศอับชื้น คบเพลิงตามผนังส่องแสงริ้วส้มจาง เผยให้เห็นชั้นวางไม้เรียงรายยาวสุดสายตา เต็มไปด้วยหีบเหล็กตรามังกร โถแก้วปิดผนึก และซากระฆังที่แตกบิ่น กลิ่นสนิมและไม้ชื้นทำให้ลิ้นชา เหมยลี่กอดหีบไม้จันทน์แนบอกแน่นราวกำลังโอบหัวใจตนเอง หลิวเซิ่งยืนกั้นด้านหน้า มือแตะด้ามดาบพร้อมรับศึก ส่วนหานอวิ๋นลดไหล่ต่ำ—ท่วงท่าพ่อค้าที่รู้ว่าการอยู่ใน “บ้านของผู้อื่น” ต้องทำตนให้เล็กที่สุด
จากเงามืดปรากฏร่างชายสูงโปร่งในชุดคลุมสีถ่าน ใบหน้าซีดราวคนไม่เคยเห็นแดด ดวงตาเรียบเหมือนบ่อน้ำยามไร้ลม เขาหยุดตรงขอบแสงตะเกียงจนสันกรามเฉือนความมืดเป็นเสี้ยวมีด เสียงเย็นออกจากริมฝีปากบาง “ยินดีต้อนรับสู่ คลัง ของข้า ข้า—เซี่ยหรง”
ชื่อที่ออกจากปากเขาเหมือนตราประทับ ไม่ใช่คำทักทาย หลิวเซิ่งขยับครึ่งก้าวบังไหล่ของเหมยลี่โดยสัญชาตญาณ หานอวิ๋นโค้งศีรษะเล็กน้อยเหมือนพ่อค้าที่พร้อมต่อรอง
“เราตามหา ถ้วยที่หก” หลิวเซิ่งเอ่ยตรง
เซี่ยหรงหัวเราะเบา “ภาชนะที่โยนจากกำแพงก็ไม่แตก? หรือถ้วยที่ทำให้หัวใจเป็นของผู้อื่น? มันเคยผ่านที่นี่…ชั่วลมหายใจหนึ่ง แล้วก็หายไปตามนิสัยของมัน” เขาเดินนำพวกเขาผ่านแถวโถแก้วและหีบโบราณ จนถึงโต๊ะไม้เตี้ย บนถาดวาง ลิ้นระฆัง สามชิ้น สลักลายโบตั๋นประณีต โลหะเย็นเป็นประกายภายใต้แสงไฟ ชิ้นหนึ่งติดคราบแดงเข้มฝังแน่น—กลิ่นโลหิตเก่ากับเกลือทะเลแทรกในเนื้อโลหะ
“คืนหนึ่ง ระฆังสามพยางค์ถูกซื้อด้วยเลือด ข้าปิดคลังชั่วคราว ระหว่างนั้นของหายไปสองชุด” เขาแตะเล็บกับลิ้นหนึ่ง ติ๊ง เสียงแทรกเข้าสมองโดยไม่ผ่านอากาศ “ลิ้นครบพยางค์ ใช้ตั้งชื่อใครก็ได้จากระยะครึ่งอ่าว นี่แหละเหตุผลที่มีค่ากว่าทองแท่ง”
“แล้ว ถ้วย ไปไหน” เหมยลี่ถาม น้ำเสียงมั่นคง แม้มังกรโบตั๋นในอกจะสั่นปีก
“คำตอบมีราคา” เซี่ยหรงมองนางนิ่ง “เอา พยางค์ท้าย กลับมาให้ข้า ข้าจะให้ ทาง และ ข่าวหนึ่งบรรทัด เกี่ยวกับถ้วย”
หานอวิ๋นหัวเราะหายใจ “บรรทัดเดียว นี่ค่าชา หรือค่าชีวิต”
“ในเมืองนี้ บรรทัดเดียวพอให้เรือจม” เขาวางซองผ้าสีหมอก—หนักเท่ามีดพก “นี่คือ ตราโบตั๋นเดียวดอก ใช้ผ่านยามน้ำของสะพานได้หนึ่งครั้งในหนึ่งคืน และเหล็กงัดห่วงลิ้นที่ไม่กระตุกกลไก หากทำพลาด—โรงเก็บเสียง จะตีชื่อของพวกเจ้าแทน”
หลิวเซิ่งรับของทันที “เราไม่ย่นทาง เราแค่รีบ”
เซี่ยหรงเคาะผนังสามครั้ง แผ่นหินขยับเผยบันไดชื้นลึกลงไป กลิ่นน้ำกร่อยสวนขึ้นมา “ลงไป หอแขวนลิ้นอยู่ชั้นแรก ถัดไปคือโรงเก็บเสียง กลับมาพร้อมพยางค์ท้าย—แล้วค่อยพูดเรื่องถ้วย”
เหมยลี่พยักหน้า ดึงผ้าพันนิ้วให้แน่นขึ้น เธอสูดลมหายใจลึก “ตกลง”
เสียงประตูเลื่อนปิดตัดโลกเบื้องบนไป เหลือเพียงอุโมงค์กับหัวใจทั้งสามที่ก้าวลงบันไดอย่างเร่งรีบ
⸻
ห้องทรงสูงเบื้องล่างเงียบจนได้ยินเลือดไหล ลิ้นระฆังนับร้อยห้อยเรียงเป็นป่าลวด เส้นเงาทาบพื้นเป็นกรงขัง ความเย็นชื้นทำให้ปลายนิ้วชา เหมยลี่ค่อย ๆ ยกเหล็กงัดแตะห่วงของลิ้นหนึ่ง—เสียงสั่นสะเทือนรอบหอเหมือนสายพิณถูกดีด หลิวเซิ่งรีบใช้ปลายมีดแตะระฆังอีกใบให้เกิด ติ๊ง สั้น เสียงสะดุดไม่ครบจังหวะ เปิดช่องให้เธอดึงลิ้นออกมาได้สำเร็จ เธอสอดมันลงปลอกกำมะหยี่แนบอก หัวใจเต้นประสานกับโลหะ ตึก ตึก
ทั้งสามรีบลัดช่องแคบสู่ โรงเก็บเสียง โพรงกว้างผนังเคลือบเกลือจนเสียงทุกหยดน้ำถูกกลืน เหมือนโลกนี้ไม่มีเสียงใด กลางห้องตั้งหีบไม้จันทน์เตี้ย ฝาฉลุลายโบตั๋น หมุดเหล็กดำสามรูส่งกลิ่นเหล็กแช่เลือด เหมยลี่เห็นรอย “ชิมเลือด” ที่รูแรก
ทันใดนั้นสตรีสูงโปร่งในชุดคลุมดำก้าวออกจากมุมมืด ใบหน้าขาวซีดมีรอยยิ้มเย็น “มาถูกห้อง…แต่ช้าไปครึ่งชื่อ” ไม้เคาะพาดบนไหล่—นางฆ้อง
เสียงแรกดังขึ้น กรี๊ง— ยาวกังวาน เหมยลี่สะบัดขวด เถ้าธูปตื่น ปล่อยฝอยบางลอยขึ้นไปทำให้ปลายเสียงขาดห้วง นางฆ้องหัวเราะในคอ “ดื้อ แต่เสียงสุดท้ายยังต้องดัง” เธอลากไม้เฉียงอีกครั้ง เสียงสองทุ้มกว่าก้องไปตามผนัง
“งั้นให้มันดังกับ ชื่อของข้า” เหมยลี่วางฝ่ามือลงบนหมุด เข็มเงินแทงนิ้ว หยดเลือดแตะรูแรก กลไกสะท้อนวูบเหมือนผิวน้ำเย็น เธอหยดชาเข้มผสมเกลือปรอทลงรูที่สอง—โลกอาจไม่เชื่อเสียงของเธอ แต่กลไกเชื่อ จังหวะ ที่สอดคล้อง
หลิวเซิ่งพุ่งเข้าปะทะ มีดเฉือนปลายไม้เคาะขาดครึ่ง นางฆ้องยังหมุนครึ่งท่อนที่เหลือเคาะรางน้ำ ตึ้ง— เสียงสะท้อนใต้พื้นตั้งท่าเป็นพยางค์ท้ายที่เธอควบคุม ไม่ใช่ระฆัง
เหมยลี่พ่นเถ้าธูปตื่นส่วนสุดท้ายขึ้นสูง ปลายเสียงจึงบิ่นหาง ไม่ครบจังหวะ นางฆ้องชะงัก หลิวเซิ่งใช้เชือกเหล็กเกี่ยวลิ้นระฆังอีกใบ ดึงหลุด เสียงตายกลางอากาศ
แกร๊ก …หีบไม้จันทน์คลายตัว ฝาเปิดช้า เผย ลิ้นระฆังสามใบครบชุด และเศษดินเผาขอบโค้งเล็ก ๆ—เศษ ถ้วยที่หก
เสียงจากเบื้องบนแทรกลงมา “ครึ่งคำสุดท้าย…ข้าจะถือเอง” ชายชุดครามปรากฏบนคานเหนือศีรษะ ระฆังเล็กแกว่งที่ปลายนิ้ว ลิ้นด้านในถูกบากให้เสียงสั้นครึ่งพยางค์ รอยยิ้มของเขานิ่งราวคนตั้งกฎของเกมเอง
