ตอนที่ 1 – คลื่นแห่งท่าเมฆเหนือ - 2
เงาที่สองพุ่งตรงหาเหมยลี่ทันที มีดโค้งหวดผ่านแก้มเธอเฉียดครึ่งนิ้ว—ลมหายใจของมันคาวคมเหมือนคนกินสมุนไพรระงับเจ็บจนชิน เธอไม่ถอย คราวนี้กลับก้าวแทรกเข้าใกล้เกินระยะหวดของคู่ต่อสู้ ใช้สันมีดด้ามสั้นกระแทก “ร่องหลุมไห่” ตรงชายโครง ชั่วคราวคนรุกชะงักหายใจ เธอหมุนข้อมือแทงสั้น ๆ เข้าที่กล้ามเนื้อต้นขา—ไม่ฆ่า แต่ทำให้ยืนไม่ได้ แล้วถีบให้ร่างนั้นไถลตกขอบไปชนตะขอเหล็กที่ยังคาอยู่อีกฝั่ง
เสียงผิวไม้ถูกขูดเพิ่มขึ้นอีก—เรือเงาพยายามจะเทียบสนิทให้ได้ ขณะเดียวกัน กระสุนไฟลูกเล็กกะทัดรัดก็ลอยมาจากด้านมืดเป็นเส้นโค้ง ฝุ่บ หล่นลงท้ายเรือ อากู่ตะโกน “ไฟ!” แต่ลูกเรือด้านท้ายลังเลชั่ววูบ—บาปเก่าของคำสาปยังตามหลอก เหมยลี่รู้ทันทีว่าคำเตือนจากปากเธอ “ไม่น่าเชื่อ” สำหรับคนบางคน เธอไม่พูดซ้ำ เธอกลับฉีกปากไหดับควันในมือ ปาใส่กองไฟอย่างแรง—ฝาไหหลุดดัง แปะ! ผงดับไฟผสมดินขาวฟุ้งขึ้น กลบเปลวเพลิงให้แนบพื้นจนดับวูบ เหลือเพียงควันขาวโขมงคล้ายหมอกย่อม ๆ เคลื่อนคลุมท้ายเรือ
“ซ้ายระวัง!” หลิวเซิ่งปักพัดที่บิ่นครึ่งไว้กับข้างเอว ชักดาบสั้นยาวเท่าแขน ฟันเฉียงรับกับทวนยาวของคนที่สาม เสียงเหล็กปะทะดังแหลมจนแก้วหูสั่น เขาหยิบด้ายแห้งผสมน้ำเกลือโยนให้เหมยลี่ “มือเจ้า—เลือด!” เธอเพิ่งสังเกต—แผลจิ๋วตรงสันนิ้วแตกตอนรับมีดเมื่อครู่เลือดซึม เธอรีบพันเพื่อไม่ให้หยดเลือดกลายเป็น “ตราเรียก” ให้ใครตามร่องกลิ่น
ขณะการประจัญยังคุกรุ่น เสียงแหลมสั้นสามครั้งดังจากความมืดทางกราบขวา—ปิ๊ด…ปิ๊ด…ปิ๊ด สัญญาณไฟจากโคมเจ้าพายุอีกลำที่ซ่อนเงามาจนเกือบชนกัน “ไม่ใช่เรือเงา” อากู่พึมพำ—ทันทีนั้น โคมเจ้าพายุบนเรือลำนั้นก็ “พริบ” เป็นจังหวะสามสั้นหนึ่งยาว—รหัสของคนขนของท่าเมฆเหนือ: เพื่อน ไม่ศัตรู—คลี่ลมเลี้ยวซ้ายตามสันทราย
เรือเงาเหมือนเห็นเช่นกัน มันเปลี่ยนมุมเร็วเกินคาด ลากตะขอคืนพร้อมเตรียมยิงลูกไฟชุดใหม่ แต่ลำใหม่สวนเข้ามาแทรก—ปากเรือเปิดเป็นช่องเล็ก ขวดดินประทุสีเทากว้างเท่ากำมือพุ่งโค้งข้ามหัวเรา ปั่ก! ตกกลางเงา เรียงสามใบ ฟุ่บ—ฟุ่บ—ฟุ่บ ควันสีเทาอมเขียวพวยขึ้นครึ้ม ทะลวงเข้าหน้าคนบนเรือเงาจนวงรุกของพวกมันแตกแถวในพริบตา
“กะเพราควัน—ผสมไพเพอรินและอบเชยดำ” เหมยลี่ดมเพียงปลายลมหายใจแล้วรู้สูตร คนทำควันรู้งานยาไม่แพ้พ่อครัวไฟแรง
เรือลำนั้นขยับเล็กให้เห็นคนคุมหัวเรือ—ชายหนุ่มร่างโปร่ง สวมเสื้อค้าขายสีเงินหม่น ผูกผ้าดำที่แขน มีรอยยิ้มที่เหมือนทั้งจริงทั้งล้อเล่น เขายกมือทำท่าคำนับแบบพ่อค้าไกลฝั่ง “หานอวิ๋น—ผู้ค้าของแห้งและข่าวลือ” เสียงเขาดังพอได้ยินแม้ลมแรง “คืนนี้ข้าขาย ‘หมอกกลบชื่อ’ กับ ‘ทางเบี่ยงสันทราย’ สนใจไหม”
หลิวเซิ่งดึงตะขอหลุดตัวสุดท้ายทิ้ง แล้วปรายตาไปทางเรือใหม่ “ราคาล่ะ”
“เอาเป็น ‘คำตอบหนึ่งข้อ’ จากผู้ถือสัญญาณโบตั๋นเดียวดอก” หานอวิ๋นเอียงคอเล็กน้อย—สายตาเขาประค้างที่ชายแขนเสื้อเหมยลี่ราวเห็นอะไรแม้เธอปิดมือไว้มิด “ตอนนี้มาก่อน—ถามทีหลัง”
ยังไม่ทันตกลง ชุดลูกไฟของเรือเงาก็ยิงมาอีกระลอก แต่คราวนี้ลมจากหัวเรือของหานอวิ๋นตัดทิศ เปลวไฟโค้งตกลงน้ำห่างไปสองช่วงตัว “ตัดลมสำเร็จ” อากู่ร้อง “เลี้ยวซ้ายตามรหัส!” เขากระชากหางเสือ เราโคลงวูบความเร็วเท่ากำปั้นบีบใจ
หานอวิ๋นสอดเรือของตนมาขนาบ ขึงเชือกโยงระหว่างกันสองเส้น รวดเร็วและชำนาญอย่างพ่อค้าที่เคยหนีด่านมาทั้งชีวิต “ติดตามข้าให้พ้น ‘คุ้มระฆัง’ ของประภาคาร” เขาตะโกน “คุ้มระฆังตีสามครั้งจะ เรียกชื่อ ให้ครบเอง—คืนนี้ลมดี พวกเจ้าไม่อยากถูกเรียก!”
คำว่า เรียกชื่อ ทำให้สันหลังเหมยลี่เย็นวาบ เธอจำได้ดีว่ากฎของพันธะเลือดจะทำงานเมื่อใครบางคนได้ยินนามตนครบสามคราที่ “ถูกต้อง” ประภาคารของท่าเมฆเหนือขึ้นชื่อเรื่องระฆังสามใบที่ตีรับขบวนเรือเข้าออกตามสัญญาณ—ถ้าใคร “กำหนด” จังหวะระฆังให้แทนชื่อ…ชะตาอาจผูกโดยไม่ต้องเอ่ยคำ
“ข้ากันมันได้ชั่วคราว” เธอว่ากับหลิวเซิ่ง แล้วล้วงถุงเล็ก “เถ้าธูปตื่น” ที่เหลือจากคืนในวัง เธอแบ่งผงเท่าเสี้ยวเล็บละลายน้ำทะเลในถ้วยชาม ฉีดพ่นเป็นฝอยตรงหัวเรือให้กระจายเป็นม่านบาง ๆ “ถ้าระฆังตี—เสียงจะขาดห้วง ลมจะยืดชื่อให้หายครึ่งพยางค์” เธอพูดสั้น เพราะรู้ดีว่าเสียงของเธอไม่น่าเชื่อสำหรับคนแปลกหน้า แต่หลิวเซิ่งพยักหน้าโดยไม่ต้องอธิบาย—ความไว้วางใจยืนอยู่ระหว่างเสียงคลื่นกับหัวใจเขามานานพอ
เรือเงายังตาม ทว่ากลุ่มควันเทาอมเขียวของหานอวิ๋นทำให้เงาของพวกมันพร่า ความชำนาญของเขาชี้ช่องน้ำเหมือนอ่านลายมัดเชือก—เรือเลี้ยวเข้าร่องน้ำตื้นที่คนทั่วไปกลัวค้างกาบ แต่ท้องเรือเบา ๆ ของพวกเขาลอดผ่านไปได้โดยไม่เฉี่ยว หางตาเหมยลี่เห็นเงาอีกชุดบนคันชั่งน้ำกรดของประภาคาร—ใครบางคนยืนคุมระฆัง
กรี๊ง— ระฆังใบแรกดังขึ้น รินเสียงยาวเย็นสะท้าน ผิวน้ำสั่นระริกใต้แสงดาว เธอสาดฝอยละอองเถ้าธูปตื่นเพิ่ม เสียงคลื่นซ้อนทับกับระฆังทำให้ช่วงท้ายเสียง “หายปลาย” ไปเอง เหลือเพียงครึ่งท่อนอย่างจงใจ
กรี๊ง— ใบที่สองตามมาดังทุ้มลึกกว่า เหมยลี่งอข้อมือ ฉีดฝอยละอองขึ้นสูงกว่าก่อน ชั่วอึดใจเสียงลมเฉือนสันธารยะระหว่างเรือสองลำ ทำให้ปลายระฆังแตกลาย เธอไม่แน่ใจว่าครบหรือไม่—แต่ลมหายใจของมังกรโบตั๋นในอกสั่น รับ อย่างพอใจราวบอกว่า “ไม่ครบ”
คนบนประภาคารคงรู้ตัวว่าเสียงถูก “ยืดหาย” เขาขยับร่างยืนกว้าง หยิบฆ้องแผ่นเล็กขึ้นแทนระฆัง—ถ้าเขาตี ตะโพน ตามลำดับ ย้ำ-เว้น-ย้ำ ก็อาจเลียนเสียงพยางค์ให้ครบได้โดยไม่ง้อระฆัง
“อวิ๋น!” หลิวเซิ่งตะโกนเรียกเรือข้าง “พาออกจากแนวเสียง ฆ้องย่านนั้นสะท้อนในร่องผา!”
หานอวิ๋นยกนิ้วโป้งขึ้นเหมือนนักเล่นกล เขาอัดหางเสือ สายใบพายตวัด ฉืด เรือทั้งสองกะทันหันหลบออกนอกแนวสะท้อน เสียงฆ้องแผ่เป็นคลื่นผ่านหัวไปติดแนวโขดหินด้านหลัง แทนที่จะทุบเข้าหลังคอเรา—กระแทกเรือเงาที่วิ่งตรงตามหลังเต็ม ๆ ก้องกังวานจนพวกมันเสียจังหวะ
