ตอนที่ 6 ร้องทุกข์[1]
วันนี้หวั่นอี้ไม่คิดจะรอให้ตระกูลจวงนำสมบัติมาคืนอยู่แล้ว เพราะรู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ จึงรีบชิงออกไปนอกจวน ก่อนที่คนพวกนั้นจะลงมือ
และนางก็คิดไม่ผิด เพราะในห้องโถงเรือนฮูหยินผู้เฒ่า ทุกคนต่างลงความเห็นว่าจะจับหวั่นอี้ขังเอาไว้ เพื่อไม่ให้ออกไปฟ้องศาล
แต่เมื่อจวงจิ้งเหยาพาคนมาที่เรือนหลังเล็ก ก็ไร้เงาของภรรยาเสียแล้ว
"คุณหนูเข้ามาที่นี่ทำไมเจ้าคะ"
อินฉีรู้สึกแปลกใจไม่น้อย มองไปรอบๆ ตรอกอย่างหวาดระแวง ตรอกนี้เป็นตรอกที่พวกเหล่าขอทานหรือคนไร้บ้าน ชอบมาใช้เป็นที่พักอาศัย นางจึงเกรงจะเกิดเรื่อง
"หาชุดงิ้ว"
"ชุดงิ้ว?"
"ใช่"
ภายในตรอกที่บ้านคนยากจนอาศัยอยู่ หวั่นอี้สาวเท้าตรงไปที่นั่น เพื่อขอแลกชุดที่นางสวมใส่กับเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ ของพวกเขา
ไม่นานสองนายบ่าวก็ออกมาจากตรอกในชุดซ่อมซ่อ เป็นจังหวะเดียวกับที่คนของตระกูลจวงกำลังตามจับหวั่นอี้พอดี ทุกคนพากันเดินผ่านทั้งสองไป โดยไม่เหลือบแล
"นั่นคน..."
"ชู่ๆ"
หวั่นอี้รีบส่งสัญญาณให้อินฉีทางสายตา เพราะนางเดาไว้แต่แรกแล้ว ว่าบ้านสามีไม่เพียงไม่ยอมคืนสินเดิม แต่ต้องหาทางกักขังนางเป็นแน่ ถึงได้เร่งเข้าไปในตรอกเพื่อเปลี่ยนชุด
อินฉีเองก็หาใช่คนโง่ เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร หวั่นอี้ไม่เพียงแลกเปลี่ยนชุด แต่ยังว่าจ้างหญิงสาวที่สวมชุดของนางให้ไปเดินหน้าศาลเมืองฝูตงอีกด้วย
จวงจิ้งเหยาที่พาคนมาดักรอรอบๆ ศาล เมื่อเห็นสตรีสวมชุดของหวั่นอี้เดินผ่าน ทุกคนก็พากันกรูตามไป
"ไปกัน"
หญิงสาวสองนางในชุดซ่อมซ่อ เร่งฝีเท้ามาจนถึงประตูศาล ก่อนจะตีกลองร้องทุกข์ ไม่นานก็มีมือปราบร่างสูงใหญ่ก้าวออกมา
"พวกเจ้ามาตีกลองร้องทุกข์เรื่องอะไร?"
"ท่านมือปราบทั้งสอง ข้าน้อยจวงหวั่นอี้ ลูกสะใภ้ตระกูลจวง ต้องการฟ้องร้องบ้านสามีเจ้าค่ะ"
"แล้วพวกเจ้ารู้ธรรมเนียมการฟ้องหรือไม่"
"ข้าน้อยทราบเจ้าค่ะ" หวั่นอี้ล้วงเข้าไปหยิบหนังสือร้องทุกข์ที่ร่างเอาไว้ก่อนออกจากจวนส่งให้มือปราบตรงหน้า
"ตามข้ามา"
สองนายบ่าวก้าวตามสองมือปราบไปยังโถงกว้างที่ใช้สำหรับว่าความ
"พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน"
หวั่นอี้และอิ่นฉียืนรออยู่พักใหญ่ มือปราบคนเดิมถึงมาตามให้ไปพบท่านเจ้าเมือง
ภายในห้องโถงด้านหลัง ชายชราวัยราวห้าสิบกว่า กำลังนั่งอ่านทวนหนังสือร้องทุกข์ของหวั่นอี้อย่างละเอียดอีกครั้ง
"ข้าน้อยจวงหวั่นอี้ คารวะท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ"
เจ้าเมืองฝูตงยกมือลูบเครา นิ่วหน้ามองเด็กสาวตรงหน้าอย่างสำรวจ ซานปู้อ้าวย่อมจดจำบุตรีอดีตขุนนางขั้นสี่ลู่ถงกวานที่พึ่งถูกเนรเทศได้อยู่แล้ว เพียงแต่ประหลาดใจกับการแต่งเนื้อแต่งตัวของนาง
"เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?"
หวั่นอี้คุกเข่าลง พยายามกลั้นเสียงสอื้น "ฮึก! ข้าน้อยถูกบ้านสามีรังแกเจ้าค่ะ"
"ที่เจ้าเขียนมานี่เป็นเรื่องจริงหรือ?"
"จริงเจ้าค่ะ หากไม่สุดกลั้นจริงๆ ข้าน้อยคงไม่ทำเช่นนี้" น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ ไหลลงมาอาบแก้มขาวนวล
หากผู้ใดพบเห็นหวั่นอี้ในยามนี้ คงรู้สึกเวทนามิใช่น้อย แล้วนับประสาอะไรกับเจ้าเมืองฝูที่รู้จักนิสัยใจคอของนาง
ส่วนอินฉีที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านหลัง พึ่งจะเข้าใจความหมายของคำว่าชุดงิ้วก็ตอนนี้ สาวใช้คนสนิทที่ดูแลคุณหนูลู่มาตั้งแต่เด็ก แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ได้แต่เล่นเป็นตัวประกอบงิ้วตามเจ้านาย
ถึงแม้จะรู้สึกสงสารและเวทนาเพียงใด แต่จะอย่างไรก็เป็นเจ้าเมืองผู้มีคุณธรรม
"หากสืบได้ว่าเรื่องที่เจ้าฟ้องร้องเป็นเรื่องโกหก โทษของเจ้าคือการถูกโบย เข้าใจหรือไม่?"
"ข้าน้อยเข้าใจเจ้าค่ะ"
ตามธรรมเนียมแล้ว การที่จะร้องทุกข์เพื่อขอให้ท่านเจ้าเมืองเปิดศาลได้นั้น ต้องมีหลักฐานเพียงพอเสียก่อน มิเช่นนั้นย่อมมิอาจเปิดศาลไต่สวนได้
และเพื่อไม่ให้เกิดการใส่ร้ายป้ายสี การร้องทุกข์ในเรื่องเท็จจึงมีบทลงโทษค่อนข้างสูง พูดให้ถูกก็คือ หากแพ้คดีนอกจากจะถูกตัดสินโทษแล้ว ยังต้องถูกโบยในฐานะหลอกลวงศาลอีกด้วย
"เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว เมื่อเจ้าไม่มีหลักฐานอื่น ข้าจึงมิอาจเปิดศาลส่งเดช จำต้องเรียกคนตระกูลจวงมาสอบถามดูเสียก่อน หากพวกเขายอมคืนสินเดิมให้เจ้าแต่โดยดี จะได้ไม่ต้องเปิดศาล"
"ขอบคุณท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ"
"ลุกขึ้นเถิด"
หวั่นอี้และอินฉีค่อยลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ร่างบอบบางเซถลาไปเล็กน้อย จนสาวใช้ต้องรีบเข้ามาประคอง
"คุณหนู!"
อินฉีรู้สึกถึงสัญญาณมือของผู้เป็นนาย จึงทำท่าทางคล้ายจะร้องไห้
"โธ่คุณหนูของบ่าว ไม่ได้กินข้าวกินปลาจนถึงกับจะเป็นลมเลยหรือเจ้าคะ"
ท่าทางของสองนายบ่าว ทำให้เจ้าเมืองฝูตงรู้สึกสงสารจับใจ ในใจเชื่อหวั่นอี้ไปแล้วสิบส่วน ตระกูลพ่อค้าหน้าเลือดอย่างตระกูลจวง ย่อมไม่มีวันจะทำดีกับภรรยาที่ตระกูลบ้านเดิมตกต่ำเป็นแน่
"พาเจ้านายของเจ้าไปนั่งพักก่อนเถิด เดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนไปซื้ออาหารที่เหลาห้าทิศมาให้
"ขอบคุณท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ"
เท่านี้ หวั่นอี้ก็ได้ตามแผนแล้ว นางไม่เพียงแค่เขียนถึงเรื่องสินเดิม แต่เขียนทุกเรื่องที่ถูกรังแกลงไปในหนังสือร้องทุกข์อย่างละเอียด ก็แค่เล่นละครให้สมจริงอีกนิดหน่อย ต่อให้ไม่มีหลักฐาน แต่ในใจท่านเจ้าเมืองย่อมเอนเอียงมาทางนางแน่นอน
