ตอนที่ 2 ทวงของคืน[1]
เมื่อจวงหวั่นอี้พร้อมอินฉีมาถึงเส้นทางหน้าประตูจวนสกุลลู่ ก็เห็นบิดามารดาสะพายห่อผ้าเดินก้มหน้าก้มตาสวนออกมาพอดี
"ท่านพ่อ! ท่านแม่!"
เด็กสาวรีบวิ่งเข้าไปหาบุพการีทั้งสองด้วยความเป็นห่วง
"อี้เอ๋อ?"
สองสามีภรรยาตระกูลลู่ ทั้งประหลาดใจและดีใจที่ได้เห็นหน้าบุตรีเพียงคนเดียว
รอยยิ้มที่เลือนหายไปหลายเดือนของหญิงชายวัยเกือบสี่สิบปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง
"ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ"
"พ่อกับแม่ไม่เป็นอะไร"
ลู่ฮูหยินดึงร่างบอบบางเข้ามากอดเอาไว้แน่น เอ่ยทั้งน้ำตาคลอเบ้า
"เป็นห่วงก็แต่เจ้า เกิดเรื่องกับตระกูลเราเช่นนี้ เกรงว่าจากนี้ไป ชีวิตของเจ้าในบ้านสามีคงลำบากเป็นแน่ ฮึก!"
"ท่านแม่อย่าร้องไห้เลยเจ้าค่ะ เป็นลูกเองที่อกตัญญูไม่ยอมเชื่อฟังพวกท่าน"
"มันผ่านไปแล้ว ก็อย่าได้โทษตัวเองเลยลูก ยังดีที่เจ้าแต่งออกไป มิเช่นนั้นคงถูกเนรเทศไปลำบากกับพวกเรา"
อดีตขุนนางขั้นสี่ยกมือลูบเส้นผมดำสนิทของบุตรสาวเบาๆ ดวงตาแดงก่ำ
"ลูกอยากไปอยู่กับพวกท่าน ความลำบากมันอยู่ที่ใจ หากครอบครัวเรากลับมาอยู่พร้อมหน้า ต่อให้อยู่ที่ไหนก็มีความสุข ท่านพ่อว่าจริงหรือไม่เจ้าคะ"
"อี้เอ๋อพูดได้ถูกต้องแล้วลูก"
ลู่ถงกวานแทบไม่อยากเชื่อ ว่าบุตรีที่ทั้งอ่อนแอขี้ขลาด จะเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้ แต่ก็ยังรู้สึกภูมิใจที่อย่างน้อยบุตรสาวเพียงคนเดียวที่พวกเขาเฝ้ารักและทะนุถนอมก็ยังไม่ลืมบิดามารดา
"พวกเราอย่ามัวมายืนตากแดดตากลมอยู่ตรงนี้เลยเจ้าค่ะ ท่านพ่อ ท่านแม่ ไปหาโรงเตี๊ยมนั่งคุยกันก่อนดีกว่า"
"คงจะไม่ได้หรอกลูก คำสั่งเนรเทศมีผลวันนี้ พ่อต้องเดินทางแล้ว อีกสักครู่คงจะมีทหารจากกรมอาญามาพาพ่อไปส่งที่ประตูเมือง"
จวงหวั่นอี้ได้ยินวาจาของบิดาถึงกับสะท้อนใจ เมื่อก่อนเหตุใดนางถึงมองไม่เห็นความรักความห่วงใยจากพวกเขา
จู่ๆ เด็กสาวก็คุกเข่าลงกับพื้น จนทั้งสามเห็นแล้วพากันตกอกตกใจ
"อี้เอ๋อ!"
"คุณหนู!"
"อี้เอ๋อ ทำอะไรลูก!?"
ลู่ฮูหยินรีบเข้าไปประคองร่างบอบบางของบุตรสาวให้ลุกขึ้นยืน แต่นางกลับส่ายหน้า
"ขอให้ลูกได้แสดงความกตัญญูเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเถิดเจ้าค่ะ"
หวั่นอี้เอ่ยจบ ก็ก้มคำนับสามครั้งทั้งน้ำตา นางย่อมรู้ดีว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบหน้าบุพการีทั้งสอง
"จากนี้ไป พวกท่านต้องดูแลตัวเองให้ดีนะเจ้าคะ ไม่ต้องเป็นห่วงลูก อี้เอ๋อไม่ได้อ่อนแอเหมือนก่อนแล้วเจ้าค่ะ"
"โธ่! ลูกแม่ ฮึก!"
ลู่ฮูหยินพยุงบุตรสาวเข้ามากอดทั้งน้ำตา สตรีทั้งสามต่างพากันร่ำไห้อย่างไร้เสียง ขนาดบุรุษเข้มแข็งอย่างลู่ถงกวาน ดวงตายังแดงก่ำ
ไม่นานทหารของเจ้ากรมอาญาก็มาถึง
"ไปเถิดพี่อิน"
ไม่เหลือเวลาให้กับความเสียใจ หวั่นอี้ก้าวตามหลังกลุ่มทหารที่มาพาบิดามารดาไปส่งนอกเมืองอย่างเงียบๆ
ความโง่งมทำให้นางไม่เคยรู้เรื่องของบ้านเมือง จึงไม่รู้ว่าที่แท้บิดาไปทำอะไรถึงได้พัวพันกับการทุจริต แต่มาคิดได้ตอนนี้ มันคงสายไปเสียแล้ว
จวงหวั่นอี้หรือลู่หวั่นอี้ เดินตามไปส่งบุพการีทั้งสองจนถึงหน้าประตูเมือง ร่ำลากันอีกพักใหญ่ ถึงได้กลับจวน
แค่สองนายบ่าวผ่านประตูเข้ามาก็เจอกับสาวใช้ของแม่สามีมาดักรออยู่แล้ว
