ตอนที่ 1 เพียงร้อยราตรี[2]
เมื่อหนึ่งปีก่อน ลู่หวั่นอี้ บุตรีอมาตย์ลู่เกิดต้องตาบุตรชายตระกูลพ่อค้าเข้าโดยบังเอิญ
แต่เมื่ออีกฝ่ายส่งแม่สื่อมาทาบทาม อมาตย์ลู่ผู้เป็นบิดากลับไม่ยอมยกให้ ทำให้คุณหนูลู่เสียใจไม่เป็นอันกินอันนอน จนล้มป่วย
ด้วยความรักบังตา เด็กสาวไม่ฟังคำทัดทานของบิดามารดา ได้แต่กล่าวโทษบุพการีทั้งสอง
ในที่สุดอมาตย์ลู่ก็ต้องยอมตามใจ เพราะไม่อาจทนเห็นบุตรีต้องเศร้าโศกเสียใจได้
พิธีแต่งงานจัดขึ้นอย่างสมเกียรติบุตรสาวเพียงคนเดียวของขุนนางขั้นสี่ ลู่ถงกวาน
หลังจากนั้นเพียงสามเดือน จากหญิงสาวที่ตระกูลสามีคอยเอาอกเอาใจก็เริ่มกลายเป็นคนไร้ค่า เพราะบิดากำลังถูกสืบสวนข้อหาทุจริต
จวงหวั่นอี้ ฮูหยินน้อยตระกูลจวง ต้องใช้ชีวิตอยู่ในบ้านสามีด้วยความยากอย่างลำบาก
คดีของบิดายังมิทันตัดสิน แม่สามีก็รีบจัดหาอนุเข้ามาให้บุตรชายทีเดียวถึงสองคน โดยอ้างเหตุผลที่นางไม่ยอมมีบุตร
เด็กสาววัยสิบหกที่แต่งเข้ามายังไม่ทันถึงปี ซ้ำยังขี้ขลาดอ่อนแอ ไหนเลยจะรู้ว่าตามธรรมเนียมแล้ว สามียังไม่มีสิทธิที่จะรับอนุเข้าบ้านได้ หากนางไม่ยินยอม
จวงหวั่นอี้ต้องจำทนเจ็บช้ำมองบุรุษที่นางรัก พะเน้าพะนอหญิงอื่นด้วยความปวดใจ ไม่กล้าแม้กระทั่งจะขอให้สามีมาค้างที่เรือน
เท่านั้นยังไม่พอ ผ่านไปเพียงสองเดือน ฮูหยินผู้เฒ่าจวงก็จัดหาอนุมาเพิ่มให้บุตรชายอีกสองนาง
ซึ่งอนุสี่ที่มาใหม่ผู้นี้นับว่าไม่ธรรมดา นอกจากจะเป็นสตรีที่ทำให้จวงจิ้งเหยาหลงใหลแล้ว นางเข้ามาได้ไม่กี่เดือนก็ตั้งครรภ์ สร้างความปลาบปลื้มให้คนทั้งตระกูล
หวั่นอี้นึกมาถึงตรงนี้ แววตาที่เคยขลาดกลัวก็ทอประกายคมกล้า
นางมีเวลาเพียงร้อยราตรี นั่นก็หมายความว่านางน่าจะอยู่ช่วงที่บิดามาหาที่จวน หากจะนับตามวันที่ไม่แน่นอนนัก ก็น่าจะเป็นช่วงที่บิดาถูกปลด
วันนั้น นางถือว่าทำผิดอย่างร้ายแรง เพราะความอยากเอาใจตระกูลของสามี หวังกลับมาเป็นที่รักของทุกคนอีกครั้ง จึงทำให้ไม่ยอมออกไปพบหน้าบิดามารดาผู้ถูกเนรเทศ ทั้งที่ทั้งสองตั้งใจมาร่ำลา
ยิ่งคิดน้ำตาของหวั่นอี้ก็พานจะไหล
ข้านี่มันช่างเลวจริงๆ
พอได้มองย้อนกลับไปก็ได้แต่ก่นด่าตัวเอง
“คุณหนู?”
อินฉีเห็นแววตาของผู้เป็นนายเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จำต้องเอ่ยเรียกด้วยความเป็นห่วง
“พี่อินมีอะไรหรือ”
“เป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ?”
"ข้าเป็นห่วงท่านพ่อกับท่านแม่"
ใบหน้าสลดลงของสาวใช้ ทำให้หวั่นอี้รู้ทันทีว่าเวลานี้สกุลลู่ของนางคงเกิดเรื่องแล้ว และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้แม่สามีคิดจะหย่านาง
"พี่อิน ไปกับข้า"
"ไปไหนเจ้าคะ"
"จวนตระกูลลู่ ข้าจะไปหาท่านพ่อท่านแม่"
"แต่คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังหาทางขับไล่ไสส่งท่าน ถ้าพวกเราไปตอนนี้เกรงว่า..."
"ฮึ!"
คำเตือนของสาวใช้คนสนิท ทำให้หวั่นอี้แค่นเสียงขึ้นจมูก ยกยิ้มมุมปากอย่างนึกดูแคลนแม่สามี
"พี่อิน จากนี้ไปข้าจะไม่สนใจว่าพวกคนตระกูลจวงจะคิดอย่างไรกับข้าอีกต่อไปแล้ว หากแม่สามีอยากจะให้ข้าหย่า ก็ต้องจ่ายค่าเสียเวลาชีวิตมาให้ข้าเสียก่อน ข้าถึงจะหย่าให้"
เอ่ยจบหวั่นอี้ยักคิ้วให้สาวใช้อย่างซุกซน จนคนที่กำลังยืนอ้าปากค้างต้องยกมือขยี้ตา "เอ่อ คะ..คุณหนู?"
"อย่ามัวมาสงสัยอยู่เลยพี่อิน พวกเรารีบไปหาท่านพ่อท่านแม่กันเถิด แค่พี่รู้ว่าข้าเปลี่ยนไปก็พอ หวั่นอี้คนนี้จะไม่อ่อนแออีกแล้ว"
อินฉีสาวเท้าตามแผ่นหลังบอบบางไปด้วยความประหลาดใจ แต่ความดีใจกลับมีมากกว่า เมื่อได้ยินคำพูดที่เหลือของผู้เป็นนาย
"โธ่ คุณหนูของบ่าว"
สองนายบ่าวก้าวออกจากเรือนหลังเล็กทางปีกตะวันตก ที่พึ่งถูกสั่งย้ายให้เข้ามาอยู่เมื่อเดือนก่อน มุ่งหน้าไปทางประตูใหญ่โดยไม่สนสายตาสอดรู้สอดเห็นของบ่าวไพร่ในจวน
ยังไม่ทันจะถึงประตู ฝีเท้าของหวั่นอี้ก็ต้องหยุดลง เมื่อเจอกับร่างสูงที่พึ่งลงมาจากรถม้า จวงจิ้งเหยา ก้าวลงมายืนข้างรถ ยื่นฝ่ามือส่งให้ผู้ที่กำลังจะก้าวตามลงมาด้วยท่าทางรักไคร่
แม้จะยังไม่เห็นใบหน้า แต่หวั่นอี้ก็รู้ว่าคนที่กำลังจะก้าวลงมาเป็นใคร
อนุสี่ โย่วหลัวฮวา สตรีที่งดงามราวดอกไม้แรกแย้มสมชื่อของนาง
ปีนี้จวงหวั่นอี้อายุย่างเข้าสิบเจ็ดหนาวแล้ว ซึ่งกับเท่ากับเหล่าอนุทุกนาง หากจะพูดถึงเรื่องรูปร่างหน้าตา ฮูหยินเอกก็ยังถือว่างดงามกว่าอนุทุกคนอยู่ดี แต่ด้วยความที่มีนิสัยขี้กลัว จึงทำให้ขาดความสง่างามอย่างที่ควรจะเป็น
ภาพที่เห็นแม้จะทำให้ในใจของเด็กสาวรู้สึกเจ็บปวด แต่ใบหน้ากลับไร้อารมณ์อย่างสิ้นเชิง
"พี่อินไปเถิด"
หวั่นอี้ตวัดสายตากลับสาวเท้าตรงไปข้างหน้าด้วยแผ่นหลังตั้งตรง ลำคอระหงเชิดขึ้น
ฮูหยินเอกตระกูลจวงพร้อมสาวใช้ก้าวไปได้เพียงสองก้าว
"เห? ท่านพี่เจ้าคะ นั่นฮูหยินนี่เจ้าคะ"
ฝีเท้าก็ต้องหยุดลงอีกครั้ง หวั่นอี้หันกลับมามองตามเสียงด้วยแววตาเฉยชา ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปหาผู้เป็นสามี ยอบกายคารวะ
"อี้เอ๋อคารวะท่านพี่เจ้าค่ะ"
ท่าทางเปลี่ยนไปของนาง ทำให้หัวคิ้วบนใบหน้าหล่อเหลามุ่นลงเล็กน้อย "เจ้าจะออกไปข้างนอก?"
"เจ้าค่ะ"
น้ำเสียงที่เคยสั่นเทายามพูดกับผู้เป็นสามีเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เดิมทีหวั่นอี้ไม่เคยกล้ามองสบดวงตาคมเข้ม แต่วันนี้ ใบหน้าหวานล้ำกับเชิดขึ้น มองสบตาตรงๆ โดยไม่คิดหลบเลี่ยง
"หากท่านพี่ไม่มีอะไรแล้ว น้องขอตัวนะเจ้าคะ"
เอ่ยจบร่างบอบบางก็หันกายเตรียมจะเดินจากไป แต่ก็ต้องหยุดชะงักลงเป็นครั้งที่สาม เพราะเสียงที่ดังขึ้นเบื้องหลัง
"ไม่ทราบว่าท่านรายงานฮูหยินผู้เฒ่าหรือยัง หญิงสาวอย่างเราใช่ว่าจะออกไปข้างนอกได้ตามอำเภอใจนะเจ้าคะ ท่านเป็นถึงฮูหยินเอกน่าจะรู้เรื่องนี้ดี ข้าเป็นห่วงเกรงว่าท่านจะถูกดุ"
มุมปากของหวั่นอี้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มหยันเมื่อได้ยินวาจาของอนุสี่ หันกลับมามองผู้พูดตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะจับจ้องที่ใบหน้างาม
"อนุสี่ อย่างแรกที่อนุอย่างเจ้าควรรู้ คือฐานะ"
ดวงตาคู่งามมองอย่างกดดัน แต่อีกฝ่ายกลับทำเป็นไม่เข้าใจความหมาย แสร้งก้มหน้าก้มตาเกาะแขนบุรุษข้างกายด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย
"ข้าแค่เตือนด้วยเป็นห่วง ถ้าทำให้ท่านไม่พอใจ ต้องขออภัยเจ้าค่ะ"
ด้วยความที่จวงจิ้งเหยา มัวแต่มองภรรยาที่ดูเปลี่ยนไป ก็เลยไม่ได้สนใจบทสนทนาของสตรีทั้งสองมากนัก พอแขนถูกกอดถึงได้เอ่ยอย่างขอไปที
"เอาน่า นางก็พูดถูก เจ้าควรไปบอกกล่าวท่านแม่เสียหน่อยก็ดี"
เฮอะ! ตอนนางหาเมียให้สามีข้า นางไม่เห็นมาบอกกล่าวข้าเลย
"ไม่ทราบว่าจวนแห่งนี้มีกฎข้อห้ามภรรยาเอกออกนอกจวนตั้งแต่เมื่อใดหรือเจ้าคะท่านพี่"
จวงหวั่นอี้ยกยิ้มหวานหยด เอ่ยถามสามีด้วยท่าทางไร้เดียงสา จนทำให้จวงจิ้งเหยาเห็นแล้วถึงกับชะงักไปชั่วครู่
หากจะว่าไปความงามของหวั่นอี้ก็ถือว่าเป็นหนึ่งอยู่แล้ว แค่ใส่จริตมารยาเล็กน้อย ย่อมดึงดูดสายตาผู้คนได้เป็นอย่างดี
"ย่อมไม่มีกฎเช่นนั้น"
"อ้อ น้องเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ"
สายตาของหวั่นอี้เคลื่อนจากใบหน้าของสามีมายังสตรีข้างกายร่างสูง
"เจ้าก็ควรฟังให้เข้าใจด้วยนะอนุสี่ เรื่องนี้ไม่มีกฎข้อห้าม แต่เรื่องที่เจ้าเจอข้าแล้วยังไม่ทำความเคารพนี่ถือว่าผิดกฎแน่นอน"
ไม่เพียงแค่พูดกับอนุสี่เท่านั้น หวั่นอี้ยังมองกลับไปยังใบหน้าหล่อเหลาของผู้เป็นสามีด้วยสายตากดดัน
"เอ่อ.. ฮวาเอ๋อคงลืมไป เจ้าอย่าได้ถือโทษโกรธนางเลย นางพึ่งมาเป็นอนุตระกูลใหญ่ คงยังไม่รู้ธรรมเนียม"
"อ้อ เมื่อครู่นางยังตักเตือนน้องอยู่เลยนี่เจ้าคะ แต่ก็ช่างเถิด ถ้าไม่มีอะไรแล้ว น้องขอตัวก่อนนะเจ้าคะ"
จวงหวั่นอี้หันกายสาวเท้าจากไปโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยคำทัดทาน นางไม่อยากจะเสียเวลากับคนผู้นี้อีกแล้ว เพราะเวลาของนางไม่ได้มีมากมายถึงเพียงนั้น