ตอนที่3 : ผู้นำคนใหม่
หนึ่งเดือนต่อมา..
"ไม่ไปไม่ได้เหรอคะพี่เอวา..ฮึก" เด็กหญิงตัวน้อยเข้ามากอดเอวไม่ยอมให้พี่สาวไป
"พี่ไปทำงานยองแอ สัญญาว่าจะรีบกลับมานะ" เอวาย่อตัวคุยกับเด็กหญิงตัวน้อยที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่ยอมปล่อยมือจากเอวของเธอ
"แต่มันไกล..ฮือ"
"ยองแอไม่ดื้อสิลูก พี่เอวาต้องไปทำงานนะจ๊ะ" ผู้เป็นแม่ช่วยพูดให้ลูกสาวคนเล็กเข้าใจ ยองแอติดเอวามากที่สุดเพราะเอวาคอยตามใจ
"พี่จะซื้อของมาฝากเยอะๆ เลยดีไหม"
"ไม่เอา..ฮึก..ไม่อยากให้ไป" เด็กน้อยกอดเอวพี่สาวร้องไห้ส่ายหน้าพัลวัน เอวารู้สึกใจกระตุกวูบไม่เคยเห็นน้องร้องไห้ขนาดนี้มาก่อน
"ไปเถอะลูกเดี๋ยวแม่ช่วยพูดกับยองแอเอง"
"ฮือ..ไม่ให้ไป..ฮึก" ยองแอโดนแม่กอดไว้แน่นจนขยับตัวไม่ได้ เอวามองน้องสาวที่ร้องไห้สลับกับเด็กๆ ทุกคนที่ยืนน้ำตาคลอโบกมือให้เธอก่อนที่จะเดินออกจากบ้านไป
"ทำไมรู้สึกไม่ค่อยดีเลยนะ" เอวาพึมพำกับตัวเองเบาๆ ความรู้สึกเหมือนกับว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้เจอพวกเขา แต่สุดท้ายเธอก็สลัดความคิดฟุ้งซ่านในหัวออกไปจนหมด
เอวาเดินถือกระเป๋าใบโตมาที่จุดนัดพบตามคำบอกของคนที่ชักชวนเธอไปทำงาน คนตัวเล็กที่ไม่เคยออกจากประเทศมาก่อนได้แต่ตื่นเต้นกับการไปอิตาลีครั้งแรก
"อ้าว! น้องเอวาทางนี้จ้ะ" เสียงของคนที่ชักชวนเธอไปทำงานนี้เอ่ยเรียกให้เธอหันไปสนใจ
"สวัสดีค่ะพี่ แล้วคนอื่นๆ ล่ะคะ" เอวาเดินเข้าไปหาอย่างไม่รีรอ สายตาพลันเห็นชายร่างใหญ่สวมชุดสูทสีดำที่ยืนขนาบข้างด้วยท่าทีน่ากลัว เอวาจึงรู้สึกประหม่าขึ้นทันควัน
"ไม่ต้องตกใจนะนี่คือบอดี้การ์ดที่คอยคุ้มกันพวกเราตลอดการเดินทางนี้จ้ะ" พอได้เห็นสีหน้าของหญิงสาวที่ดูกังวลและหวาดกลัว จึงต้องพยายามพูดให้เอวาสบายใจ
"บอดี้การ์ดเหรอคะ จำเป็นต้องมีด้วยเหรอคะ" เอวาเริ่มขมวดคิ้วเป็นปม เธอไปทำงานเป็นแค่พนักงานไม่ใช่หรือ ทำไมต้องมีบอดี้การ์ดมาคอยคุ้มกันด้วย
"ใช่จ้ะ เพราะการเดินทางค่อนข้างไกลอีกอย่าง..ของชิ้นนี้น่าจะได้มูลค่าสูง" คนตรงหน้ามองเอวาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเอ่ยเสียงเบาหวิวจนเธอไม่ได้ยิน
"พี่พูดว่าอะไรนะคะ?" เอวาพยายามเงี่ยหูฟังสิ่งที่อีกคนกำลังพูด แต่เพราะสนามบินเสียงดังเกินไป
"เปล่าจ้ะ เราไปกันเถอะเดี๋ยวจะไม่ทันเครื่องออก"
"ส่งกระเป๋ามาครับ" ชายตัวโตเดินมากระชากกระเป๋าไปจากมือเธอโดยที่เธอทักท้วงไม่ทัน
"ขะ..ขอบคุณค่ะ" คนตัวเล็กก้มหัวขอบคุณชายร่างใหญ่ที่ดูน่ากลัวแต่กลับมีน้ำใจถือกระเป๋าให้
เอวาเดินตามคนที่เธอไว้ใจมาจนถึงทางขึ้นเครื่องบินขาออกนอกประเทศโดยไม่ได้คิดระแวดระวัง แต่เมื่อขึ้นเครื่องบินได้ความนึกแคลงใจก็ได้เกิดขึ้น
"น้องเอวานั่งตรงนี้เลยจ้ะ" เสียงเรียกของอีกคนดังขัดจังหวะความคิดในหัวของเอวา เธอมองเห็นหญิงสาววัยไล่เลี่ยกับเธออีกหลายคนจึงยอมนั่งลงอย่างไม่อิออด
การขึ้นเครื่องครั้งแรกของเอวาผ่านไปด้วยความตื่นเต้นและแปลกใหม่ แต่เธอโชคดีได้คุยกับคนที่นั่งข้างกันทำให้รู้สึกคลายความกลัวได้ ตลอดเวลาสิบกว่าชั่วโมงที่เครื่องบินออกจากประเทศเกาหลีในที่สุดก็ได้ถึงจุดหมายปลายทางเสียที
[ประเทศอิตาลี]
เอวารวมถึงหญิงสาวอีกหลายคนเดินตามคนที่แนะนำให้ทำงานนี้และมีบอดี้การ์ดชายร่างใหญ่อีกหกคนคอยขนาบข้างราวกับว่ากลัวพวกเธอจะหนี
"เข้่าไปสิจ๊ะ" เอวามองรถตรงหน้าที่คล้ายรถบัสแต่กระจกดำมืดสนิทก่อนจะหันมองคนอื่นๆ ที่เริ่มทยอยเดินขึ้นรถไปอย่างไม่เอะใจ
"เราจะไปที่ทำงานเลยหรือเปล่าคะ" คำถามของเธอทำให้อีกคนยิ้มอย่างมีเลศนัย
"ใช่จ้ะ ได้ทำงานแน่นอนรีบขึ้นไปสิเดี๋ยวจะไม่ทันนะ" ร่างเล็กของเอวาถูกดันให้ขึ้นรถพร้อมกับประตูที่ปิดล็อกแน่น ด้านในรถมืดสนิทไม่มีแม้แต่แสงเข้ายิ่งทำให้เอวานึกกลัว
"หลับฝันดีนะจ๊ะสาวๆ" คำพูดของหญิงที่พาพวกเธอมาถึงที่นี่เอ่ยบอกด้วยสีหน้าสะใจ ทุกคนเริ่มหันรีหันขวางมองหน้ากันอย่างมึนงง แต่เพราะในรถที่มืดสนิทำให้ไม่เห็นว่าใครทำอะไรบ้าง
จู่ๆ เสียงน่าสงสัยก็ดังขึ้นก่อนที่เธอจะรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ทั่วท้อง หัวสมองโล่งขาวโพลน ดวงตาเริ่มปรือจวนจะหลับเต็มที
"นี่มันอะไร?"
"ปล่อยพวกเรานะ!"
"ทำอะไรกับพวกเรา"
"ช่วยด้วยค่ะ" เสียงร้องโวยวายของผู้หญิงที่อยู่ในรถเริ่มตะโกนเสียงดังพยายามขอความช่วยเหลือ แต่ไม่นานเสียงของทุกคนเริ่มเงียบหายไป เอวาพยายามเพ่งมองแต่เธอเห็นแค่เพียงความมืดมิด
"อะไรเนี่ย.." หูของเธอดับสนิทไม่ได้ยินเสียงคนรอบข้าง ภาพที่มืดอยู่ก่อนยิ่งมืดสนิทเมื่อความรู้สึกทุกอย่างดับหายไป
"น่าจะหลับกันหมดแล้วครับเจ๊" เสียงทุ้มของชายร่างใหญ่เอ่ยบอกหลังจากตรวจดูด้านหลังรถเพื่อความแน่ใจ หญิงสาวกว่าสิบคนตอนนี้ได้หลับใหลด้วยแก๊สยาสลบเป็นที่เรียบร้อย
"รีบไปก่อนที่ยานอนหลับจะหมดฤทธิ์" รถบัสคันสีดำเคลื่อนตัวไปยังจุดหมายที่แท้จริงของงานนี้ ไม่มีหรอกงานบริษัทที่อยู่ในนามบัตร ไม่มีเงินเดือนหรือสวัสดิการเหมือนที่เคยเล่าอ้าง แม้แต่พลาสปอร์ตของทุกคนยังเป็นของปลอม การเดินทางเข้าประเทศของทุกคนมาอย่างผิดกฎหมายโดยการใช้เส้นสายให้ผ่านด่านตรวจมาจนถึงที่นี่
ทางด้านชายหนุ่มผู้เปรียบเสมือนเจ้าถิ่นของประเทศนี้กำลังนั่งหน้าเครียดคิ้วขมวดไม่ยอมทำอะไรนอกจากนั่งเหม่อลอย
"เป็นอะไรหรือเปล่าครับ" เสียงทุ้มของคนสนิทเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
"เปล่า..หน้าฉันดูเป็นอะไรงั้นเหรอ" แมทธิวได้สติกลับคืน เขาเผลอเหม่อลอยคิดถึงคนที่ไม่ควรคิด
"พักนี้บอสซึมๆ นะครับไปเจอเรื่องอะไรที่เกาหลีมาหรือเปล่าครับ"
"ไม่มีอะไรหรอก แค่เรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะ" แมทธิวพยายามลืมสิ่งที่ได้ไปเจอด้วยตาตัวเอง อดีตคนรักที่เขาลืมเธอไม่ลงแต่ต้องลืมให้ได้
"ผมน่าจะไปเกาหลีกับบอสด้วยนะครับ" ชายหนุ่มรู้สึกผิดที่ไม่ได้ตามไปด้วยเพราะเขามีงานด่วนที่นายใหญ่สั่งให้ทำ
"แกอยู่นี่ดีแล้วมาร์โก้จะตามฉันไปทำไมทุกที่ แกไม่ใช่ลูกน้องฉันนะ" แมทธิวเอ่ยไม่สบอารมณ์ที่อีกคนทำตัวอย่างกับลูกน้องของเขาทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นน้องชายที่โตมาด้วยกัน
"ผมไม่กล้าอาจเอื้อมหรอกครับ แค่นี้ผมก็ตอบแทนบุญคุณนายใหญ่กับบอสไม่หมดแล้วครับ" ชายหนุ่มนามว่ามาร์โก้เอ่ยพร้อมกับก้มหน้ายิ่งทำให้แมทธิวไม่พอใจ
"ฉันไม่เคยบอกนายเป็นลูกน้องเลยนะมาร์โก้ พวกเราโตมาด้วยกันนะ" แมทธิวไม่ชอบให้มาร์โก้เคารพเขาเหมือนเจ้านายทั้งที่แมทธิวมองอีกคนเป็นเหมือนน้องชายแท้ๆ ของตนเอง
"ผมจะรับใช้ตระกูลคาเบร์ยสันจนกว่าจะหมดลมหายใจครับ" ชายหนุ่มไม่ได้ฟังคำที่อีกคนพูดเขาด่วนสรุปให้เสร็จสรรพจนแมทธิวถึงกับส่ายหน้า
"หึ! ฉันยังไม่อยากจะอยู่ในตระกูลนี้เลย" แมทธิวไม่อยากจะสืบทอดเจตนารมณ์ของผู้เป็นพ่อที่คาดหวังในตัวของเขามากโดยไม่ถามว่าเขาต้องการอะไร
อีกไม่นานแมทธิวจะได้รับตำแหน่งหัวหน้ามาเฟียแดนอิตาลี ธุรกิจทั้งหมดของตระกูลจะตกอยู่ในมือของเขาแต่ใครจะรู้ว่าเขาไม่เคยต้องการมันเลย
"คืนนี้บอสจะไปงานประมูลไหมครับ"
"มีงานประมูลอีกแล้วเหรอ คงหนีไม่พ้นของผิดกฎหมายอีกสิ" เขาเหนื่อยเต็มทนที่ต้องเจอกับเรื่องเหล่านี้มาตลอดทั้งชีวิต เงินตราสำหรับพวกเขาไม่มีค่ามากพอเท่ากับอำนาจที่กุมบังเหียน
"ครับ บอสควรไปในฐานะตระกูลคาเบร์ยสันนะครับ" มาร์โก้ไม่อยากให้ผู้เป็นนายพลาดการประมูลครั้งนี้เพราะมาเฟียจากถิ่นอื่นต่างพากันเข้าร่วมงานนี้ด้วย
"อืม ไปดูหน่อยก็ได้" แมทธิวไม่อาจปฏิเสธได้ ตอนนี้ทุกคนต่างรู้ว่าอีกไม่นานผู้นำของตระกูลคาเบร์ยสันจะถูกเปลี่ยนเป็นแมทธิว ลูกชายคนเดียวของไมเคิลผู้กุมอำนาจที่แม้แต่เหล่ามาเฟียด้วยกันยังต้องก้มหัวให้ความน่าเกรงขามของเขา
