ตอนที่ 2[1]
ในห้องอาหารหรูหราแห่งนั้นเงียบและเต็มไปด้วยความอึดอัด พิพัฒน์เลือกห้องขนาดเล็กที่ทำให้ระยะห่างไม่ไกลเกินไปนัก มีเพียงแต่ศรุตและเกษมที่นั่งรับประทานอาหารอยู่พร้อมกัน
ผู้ชายคนนี้หน่วยก้านดี....
เขาสนใจศรุตตั้งแต่สมัยที่เริ่มเปิดตัวธุรกิจใหม่ๆ มีนักธุรกิจในเมืองไทยไม่กี่คนนักที่จะฉลาด และมีความจริงใจกับลูกค้า ไม่เล่นตุกติกวุ่นวาย
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะศรุต” คนสูงวัยกว่าทัก รอยยิ้มนิ่งๆ ในหน้าทำให้คนถูกมองต้องระมัดระวัง “เห็นข่าวแล้ว มีคนบอกว่ากำลังตามหาแหล่งให้กู้เงินใช่ไหม”
“ใช่ครับ ผมอยากฟื้นกิจการขึ้นมา คิดว่าถ้าทุนพอน่าจะฟื้นฟูได้ไม่ยาก”
“แต่ทุนค่อนข้างสูงกับธุรกิจหน้าใหม่ มันก็คงจะลำบากหน่อยนะ”
ดวงตาสีเข้มของพิพัฒน์ทอดมองอย่างพินิจพิจารณา เขาเห็นความอ่อนล้า โรยแรงในตัวของนักสู้ตรงหน้า แว่บหนึ่งที่ริมฝีปากเรียวขยับยิ้มเหมือนจะเอ็นดู หากก็เพียงแว่บหนึ่งในส่วนลึกเท่านั้นก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาเป็นอย่างเดิม
“ฉันสนใจอยากซื้อกิจการของนาย... เอสเคชิปปิ้ง...”
“ผมยินดีเสนอขายหุ้นให้เพื่อมาร่วมทุนฟื้นฟู”
“เสี่ยงกับกิจการที่ตายไปแล้ว มันจะฟื้นขึ้นมาได้เหรอ” คนเจนเวทีกว่าเอ่ยถาม “แล้วสุดท้ายก็เอาเงินไปลงกับกิจการอื่นที่ได้กำไรเองโดยไม่ต้องมาแบ่งผลประโยชน์ให้ฉัน”
“ผมไม่ใช่คนอย่างนั้นนะ...” เสียงเขาเข้มขึ้นด้วยความจริงจัง “เอสเคชิปปิ้งคือบริษัทของตระกูลผม ที่เราทำกันมาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่รุ่นย่า ผมไม่มีทางทิ้งเอสเคชิปปิ้ง”
“นายพูดอย่างนี้ก็หมายความเท่ากับรอให้มันตายไปในมือของนายเอง”
ศรุตเม้มริมฝีปาก... จ้องตาแข็งกร้าวของอีกฝ่ายด้วยความเอาเรื่อง
“ทิ้งมันเสียสิ... เอาไหม... แล้วมาทำงานบริหารให้บริษัทของฉัน ฉันยินดีจ้างนายด้วยค่าจ้างที่สูงกว่าคนอื่นๆ รอกินเงินเดือนก็สบายไปตลอดชีพ อยากได้เงินเดือนเท่าไร เดือนละล้านพอไหม”
“คุณพิพัฒน์”
“ฉันอยากได้คนทำงานที่ไม่โง่” น้ำเสียงยามพูดถึงคนอื่นค่อนข้างเหยียดและหยามหยัน “คนที่มีอยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้ดั่งใจสักคนเดียว”
“ถ้าคุณพริมาได้ยินคุณพูดคงจะเสียใจ”
“พริมาคือทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน เขาต้องแข็งแกร่ง เพื่อจะมาแทนที่ฉันในวันหนึ่ง”
ศรุตเม้มริมฝีปากเบาๆ เรื่องครอบครัวของพิพัฒน์ เขาไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวอันใด ความสัมพันธ์ระหว่างพริมากับเขาก็คือรุ่นพี่รุ่นน้องในมหาวิทยาลัยเท่านั้น จบจากมหาวิทยาลัยแล้วก็ต่างคนต่างแยกย้าย ไม่ได้กลับมาพบปะกันอีก นอกจากพบเจอกันห่างๆ ตามงานสังคม
“ศรุต ฉันให้เกษมเรียกนายมาพบก็เพราะต้องการจะให้มาช่วยธุรกิจของฉัน ทิ้งเอสเคชิปปิ้งไป มันไม่ได้ทำอะไรให้นายนอกเสียจากจะทำให้นายหมดตัวจนไม่เหลืออะไร” เสียงเข้มบอก ดวงตาคู่นั้นวาววับ “มาเริ่มใหม่กับฉันดีกว่า และฉันจะให้ข้อตอบแทนที่นายไม่สามารถปฏิเสธได้ลง”
“ผมไม่อยากทิ้งเอสเคชิปปิ้ง ผมจะพยายามหาวิธีฟื้นฟูมันขึ้นมา”
“ใครเขาจะให้เงินกู้ เกือบพันล้านกับบริษัทเล็กๆ ...”
“มันต้องมีวิธี”
พิพัฒน์หัวเราะเสียงห้วน ความหัวรั้นนั้นทำให้เขารู้สึกสนุก ไม่น่าเบื่อจำเจเหมือนยามที่พูดกับพี่น้องหรือหลานทั้งหลายของตัวเอง มีลูกล่อลูกชนที่ทำให้เหมือนต้อนเหยื่อเข้าหาตัว
“ฉันชอบความดื้อดึงของนาย” คนสูงวัยกว่าบอก ทอดตามองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างครุ่นคิด วิเคราะห์ในใจ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงสะกดคนฟังว่า
“ฉันมีดีลอีกข้อจะมาเสนอศรุต... ฉันชอบแพสชันในตัวนาย ฉันอยากจะรู้ว่านายจะสู้ไปได้แค่ไหน ฉันจะให้นายยืมเงินเพื่อนำไปฟื้นฟูกิจการ หกร้อยล้านบาทเท่าที่นายต้องการ”
“คุณพิพัฒน์”
“แต่ฉันมีข้อแม้... นายจะต้องแต่งงานกับพริมา ลูกสาวของฉัน จดทะเบียนให้เรียบร้อย และรับดูแลพริมให้ดี อย่าให้เขาต้องลำบาก”
“คุณ”
ศรุตหน้าชา... มองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกไม่เชื่อหูของตัวเอง ข้อเสนอของพิพัฒน์เหมือนขวานที่จามลงมาตรงหน้าของเขา ทำลายศักดิ์ศรีและตัวตนที่เขานับถืออย่างรุนแรง
พิพัฒน์จ้องมอง เหยียดยิ้มรอคำตอบ
“ตกลงไหมล่ะ”
“ผมมีคนรักของผมอยู่แล้ว ผมไม่อยากทำให้เขาเสียใจ” คำตอบตรงไปตรงมาและชัดเจน ไม่หวั่นแม้ว่าคนตรงหน้าจะทรงอิทธิพลสักแค่ไหนก็ตามที
“ถึงธุรกิจจะล้มละลาย นายก็ไม่สนใจอย่างนั้นหรือ”
“ผมทำหน้าที่ทายาทที่ดีที่สุดของเอสเคชิปปิ้ง หน้าที่ผู้บริหาร แต่ผมก็ต้องทำหน้าที่คนรักที่ดีที่สุดของว่าที่ภรรยาผมด้วย เขาเป็นกำลังใจของผม เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ผมไม่สามารถทำร้ายจิตใจของเขาได้เพื่อเงินทอง”
“ดี...”
“และคุณก็ควรจะคิดถึงจิตใจของคุณพริมาด้วย เขาเป็นลูกสาวของคุณ การที่คุณจะเอาเขามาคลุมถุงชนกับผู้ชายคนไหนโดยที่เขาไม่ได้เห็นด้วย มันก็เหมือนกับการทำร้ายเขาทั้งเป็น คุณไม่เพียงแต่ทำร้ายผม แต่คุณกำลังจะทำร้ายลูกสาวของตัวเอง”
เกษมเหลือบมองสีหน้าของเจ้านาย แต่อีกฝ่ายก็นิ่งเสียจนเขาเดาไม่ออกนักว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ศรุตเม้มริมฝีปาก ข่มใจให้เย็นลง ไม่ถือสากับอีกฝ่าย
พิพัฒน์ยิ้มเยือกเย็น... ยามมองชายหนุ่มตรงหน้า ไม่ได้มีความโกรธ เกลียด หรือชิงชังใด
ที่สุด... นักธุรกิจใหญ่ผู้ทรงอิทธิพลก็ค้อมศีรษะ
“ถ้านายยังไม่สะดวกรับดีลของฉันตอนนี้ก็ไม่เป็นไร แต่ฉันยังจะรอ หากนายเปลี่ยนใจเมื่อไร ฉันจะรอฟังคำตอบอยู่เหมือนเดิม... โทรหาฉันได้โดยตรง นายจะเป็นคนนอกครอบครัวคนแรกของฉันที่ได้สิทธิ์นั้น”
จบคำแล้วพิพัฒน์ก็เปลี่ยนเรื่อง หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบระหว่างมื้ออาหารที่ศรุตไม่รู้รสไปเสียแล้ว สายตายังคงจ้องมองชายหนุ่ม แม้จะมองไม่ออกนักว่าพิพัฒน์จะคิดอย่างไร แต่ศรุตก็ตัดเรื่องเหล่านั้นออกจากความคิด เขามีศักดิ์ศรี และมีคุณธรรมมากพอที่จะไม่ทำร้ายคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อย่างมินตรา เขาต้องให้เกียรติหล่อนให้ดีมากที่สุดเท่าที่คนรักคนหนึ่งพึงมี
