ตอนที่ 1 [3]
เสียงเปิดประตูเข้ามาในห้องพักทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารที่กำลังอ่านอยู่ ใบหน้าคมสันซูบเซียวลงไปมาก เสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่หลวมโคร่งไปเหมือนไม่ใช่เสื้อของตัวเอง ดวงตาที่อ่อนล้าดูเป็นประกายขึ้นอีกนิดเมื่อเห็นหญิงสาวใบหน้าสะสวยงดงามเดินเข้ามา
“กลับมาแล้วเหรอมิน... งานหนักไหม”
“ถามมาได้ เหนื่อยสายตัวแทบขาด”
“โธ่”
ศรุตมองอีกฝ่ายด้วยความเห็นใจ ดึงร่างบางมากอดไว้หลวมๆ ถอนหายใจ เมื่อนึกถึงสภาพของตัวเองในขณะนี้ที่แทบจะทำอะไรไม่ได้เลย
“ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องลำบาก ไม่ได้ซื้อของดีๆ ให้คุณเหมือนเมื่อก่อน”
ริมฝีปากอุ่นกดลงมาประทับบนหน้าผากมน โอบกอดเอวกิ่วบางเอาไว้ด้วยความรู้สึกผิด นับตั้งแต่ธุรกิจเขามีปัญหา เขาก็ไม่สามารถดูแลมินตราได้ดีเหมือนเมื่อก่อน ไม่สามารถพาหล่อนไปกินข้าวร้านอาหารแพงๆ และไม่สามารถซื้อเพชรหรือกระเป๋าแบรนด์เนมให้ได้อย่างที่หล่อนต้องการ
“มินเพิ่งเดินผ่านร้านคาร์เทียร์ กำไลข้อมือใหม่ที่ออกเป็นรุ่นลิมิเต็ดด้วยนะ ใบเฟิร์นเขาซื้อมาก่อนมิน น่าเสียดาย อดอวดเป็นคนแรก”
“มิน... ตอนนี้ผมไม่ได้มีเงินมากถึงขนาดจะซื้อคาร์เทียร์หรอกนะ”
“มินรู้ บอกคุณแล้วไงว่าให้ลองหากู้ดู เผื่อจะได้เอาเงินมาหมุนเวียน”
“ผมลองคุยกับนายทุน แล้วก็ธนาคารแล้ว วงเงินเป็นพันล้านกับธุรกิจที่ล้มอยู่ตอนนี้ไม่มีที่ไหนกล้าเสี่ยงหรอก ไม่มีใครอยากให้ผมยืมเงิน ทรัพย์สินอื่นๆ ผมก็ไม่ได้มีมาก เพราะธุรกิจก็เพิ่งมาโตช่วงหลังผมจบมัธยมต้นเท่านั้นเอง”
เสียงกระแทกลมหายใจเบาๆ แสดงความไม่พอใจ ศรุตหน้าเปลี่ยนสีไปชั่วแว่บ ก่อนจะพยายามเอาใจให้อีกฝ่ายได้สุขสบาย
“มิน... ตอนนี้ชีวิตผมก็มีแต่คุณนะ ที่ทำให้ทุกอย่างมันยังมีคุณค่าอยู่ได้ เพราะถ้าไม่คิดถึงคุณ ไม่ได้คิดว่าผมต้องอยู่ช่วยดูแลคุณไปจนแก่ ผมก็คงไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว”
น่าแปลกที่คำพูดที่ควรจะทำให้หล่อนซาบซึ้งตื้นตันใจกลับกลายเป็นคำพูดที่ทำให้หล่อนรู้สึกหงุดหงิดรำคาญได้ ศรุตเปลี่ยนไป ไม่ใช่ชายคนเดิมที่ออดอ้อนและพร้อมจะจ่ายให้หล่อนในทุกๆ เรื่องอีก
มินตราเบี่ยงตัวออกมาจากอ้อมแขนของเขา หยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกพิศวาสใดๆ หายไปจนหมดสิ้นเมื่อนานแล้ว ขณะนี้หล่อนก็แค่อาศัยอยู่บ้านเดียวกับศรุตเท่านั้นเอง
“มะรืนนี้มินต้องไปทำงานที่เชียงใหม่นะคะ อาจจะไปหลายวัน ไม่ได้กลับบ้าน”
“ผมคงคิดถึงคุณแย่เลย”
สีหน้าหล่อนไม่เพียงแต่เฉยเมย หากเจ้าตัวยังถอนหายใจ
“คุณก็ทำงานไปสิ ไม่ต้องมารอมินหรอก”
“อื้อ”
แม้จะรู้สึกแปลบในใจ แต่ศรุตก็เลือกที่จะเก็บมันไว้... เก็บซ่อน พิงจิตใจที่อ่อนล้าของตัวเอง ในส่วนที่อ่อนแอและเปราะบาง เพราะต่อหน้าพนักงานคนอื่นในบริษัทนั้น เขาจะอ่อนแอกว่าไม่ได้จริงๆ
ในห้องทำงานใหญ่และกว้างของเจ้าสัวพิพัฒน์มีแต่เพียงเลขานุการคนสนิทและลูกสาวที่นั่งอยู่บนโซฟาอีกมุมด้านใน พริมาหยิบงานที่ตัวเองดูแลมาทบทวนเงียบๆ ทำตามทุกอย่างที่บิดาพอใจ เพื่อไม่ให้อารมณ์โมโหร้ายมาพัดผ่านใส่คนอื่นที่เหลือ
คุณเกษม... เลขานุการคนสนิท รายงานความเป็นไปของเรื่องที่ได้รับมอบหมายให้ไปสืบ รายละเอียดมากมายทั้งเรื่องเกี่ยวกับงบการเงินขาดดุลของธุรกิจเอสเคชิปปิ้งอยู่ในความสนใจของพิพัฒน์ ที่เขายอมเสียเวลาเกือบครึ่งวันมาตามพิจารณา
“ธุรกิจของคุณศรุตน่าสนใจนะครับ ถ้าไม่มีข่าวร้ายนี้เข้ามาน่าจะทำกำไรได้อีกเยอะ คุณท่านสนใจจะเทคโอเวอร์ไหม ผมจะได้ไปยื่นดีล”
“ไม่” พิพัฒน์โบกมือ สีหน้าครุ่นคิด “ฉันไม่ชอบทำอะไรที่ไม่ถนัด”
“คุณส่งคุณเอกไปเรียนรู้ก็ได้นี่ครับ เพิ่งกลับมาจากเมืองนอก น่าจะพอมีความรู้ มีแพสชัน”
“ไอ้เอกมันโง่” เสียงห้วนบอกด้วยความรำคาญ “ไปเรียนถึงซานฟรานแต่ไม่ได้อะไรกลับมา วันๆ ดีแต่เที่ยวผลาญเงินพ่อแม่ จะทำอะไรเป็น”
พริมาก้มหน้าลง มองกระดาษในมือ ไม่กล้าเสนออะไรให้พ่อตัวเองมากนัก เพียงแค่สังเกตการณ์เงียบๆ ยากจะคาดเดาว่า สุดท้ายแล้วทุกอย่างจะเป็นไปในทางใด
หล่อนมีเงินเก็บส่วนตัวที่สูงอยู่ระดับหนึ่ง แต่เชื่อว่าหากเงินก้อนนี้ออกจากบัญชีเมื่อไร พ่อของหล่อนก็ต้องรับรู้ได้ในทันที
“พริมไปเอาเอกสารที่ฝ่ายบุคคลให้ฉันหน่อย”
“ค่ะ”
หล่อนเดินออกไปอย่างว่าง่าย ปิดประตูตามหลัง ทิ้งให้พิพัฒน์อยู่กับเกษมคนสนิทเพียงลำพัง เมื่อลูกสาวพ้นออกจากห้องไปแล้ว คนด้านในจึงปรับสีหน้าขึ้นมาเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น
“ไปเรียกศรุตมา บอกว่าฉันมีเรื่องอยากจะดีล... ถ้าว่างเมื่อไรก็ให้รีบมาทันที”
