บทที่ 3
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จมุกดาก็ขอตัวออกมาเดินเล่นเพื่อย่อยอาหาร ส่วนทิวากับป้าก็พากันหายเข้าไปในห้องหนังสือ เลยทำให้บ้านทั้งหลังดูเงียบสงบเมื่อคนทั้งคู่ไม่อยู่เถียงกันให้ได้ยิน
“โอ๊ย!” กระทั่งเมื่อเดินมาถึงมุมหนึ่งของบ้านเธอก็ถูกใครบางคนขัดขาเข้าอย่างจัง ทำให้ล้มกลิ้งลงไปกองกับพื้นอย่างน่าอนาถ
“โง่! ทำไมไม่หลบ” เขาทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะพาตัวเองเดินจากไปอย่างไม่ไยดี ส่วนเธอก็เจ็บที่ข้อเท้าจนลุกไม่ขึ้น กว่าจะมีใครสักคนบังเอิญมาเห็นข้อเท้าของเธอก็บวมช้ำอย่างน่ากลัวเข้าไปแล้ว
ผลจากเรื่องวันนั้นทำให้มุกดาขาพลิกจนต้องปฏิเสธการเป็นตัวแทนขึ้นรำ ทุกคนในบ้านต่างเสียดายที่เธอพลาดโอกาสดี ๆ นี้ไป
หลายปีต่อมา
ร่างสูงใหญ่ของธัญญ์ในวัยหนุ่มลุกพรวดขึ้นทันทีที่ได้ยินคำขอร้องของมารดา มิน่าเล่า ท่านถึงไม่ยอมบอกว่าเรียกตัวเขากลับมาด้วยเรื่องอะไร บอกแต่เพียงว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกันต่อหน้าเท่านั้น ท่านคงรู้อยู่แล้วว่าถ้าเขารู้ว่าเป็นเรื่องบ้า ๆ นี่เขาคงไม่มา
“ผมไม่แต่ง แม่จะมาบังคับผมไม่ได้” ไม่มีวันที่เขาจะยอมทำตามคำขอร้องนี้ ต่อให้มันจะมาจากมารดาผู้ให้กำเนิดก็เถอะ
“แกสัญญากับแม่แล้วว่าจะดูแลน้อง” ใช่ เขาจำคำพูดของตัวเองได้ทุกคำ แต่นั่นมันก็ไม่ได้แปลว่าต้องดูแลยัยซื่อบื้อนั่นในฐานะ เมียไม่ใช่หรือไง ยังมีอีกหลายวิธีที่เขาจะทำตามที่รับปากแม่ได้ แต่ต้องไม่ใช่การแต่งงาน
“แต่ผมไม่เคยบอกว่าจะแต่งงานกับเขา อีกอย่างน้องสาวของผมมีแค่ยัยทิวาคนเดียว คนอื่นไม่ใช่!” คำตอบนั้นส่งผลตรงต่อใจคนที่บังเอิญเดินเข้ามาสู่บทสนทนาโดยไม่ได้ตั้งใจไม่น้อย หากจะถอยหลังกลับก็ไม่ทันแล้วเมื่อทั้งคู่ต่างหันมาเห็นการมาของเธอเข้าพอดี
“ทำไมต้องให้ผมแต่งงานกับเขาด้วย ไม่มีวิธีอื่นที่เราจะตอบแทนบุญคุณแล้วเหรอครับ” เขาไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เพราะมีคนรักอยู่แล้ว อีกอย่างเขาไม่เคยพิศวาสอะไรยัยเด็กกาฝากนี่
ตั้งแต่เด็กจนโตพ่อกับแม่มักจะพูดแต่เรื่องบุญคุณ โดยไม่สนเลยว่าการที่ท่านหันไปเอาใจใส่เด็กคนอื่นมันจะทำให้เขารู้สึกยังไง
“แม่เลือกวิธีนี้เพราะเห็นว่ามันดีที่สุดแล้ว ถ้าไม่ได้ลุงเมธีป่านนี้เราทุกคนคงเสียพ่อไปแล้ว แกลืมไปแล้วหรือไง” เขาไม่เคยลืมถึงสิ่งที่พ่อของหล่อนทำไว้ ซ้ำยังรู้สึกซาบซึ้งทุกครั้งที่คิดถึงความเสียสละในครั้งนั้นของท่าน แต่ที่ต้องปฏิเสธเพราะเขามองไม่เห็นว่าการที่เขากับมุกดาแต่งงานกันมันจะเป็นการทดแทนบุญคุณตรงไหน
คนสองคนไม่ได้รักกันจะอยู่ด้วยกันไปได้สักกี่น้ำ นั่นมิใช่หรือคือสิ่งที่แม่ควรต้องคิดให้ดี อย่างน้อยท่านก็ควรคิดถึงยัยนั่นให้มาก ๆ
“ผมต้องชดใช้ให้เขาไปจนวันตายเลยไหมมันถึงจะสาสม” เขาถามมารดาก็จริง แต่สายตากลับหยุดอยู่ที่ตัวต้นเหตุอย่างเอาเรื่อง
“เมื่อไรแม่จะเลิกยัดเยียดเขาให้ผมสักที เมื่อไรแม่จะเข้าใจว่าคนที่ผมรักคือแข ถ้าไม่ใช่แขแม่ก็อย่าหวังว่าผมจะแต่งกับใครหน้าไหนทั้งนั้น เพราะผมไม่แต่ง ไม่มีวันแต่ง” ธัญญ์ทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะพาตัวเองเดินออกไปจากห้องท่ามกลางเสียงร้องตะโกนเรียกของมารดาที่ดังก้องไปทั่วบ้าน แต่เขากลับไม่คิดที่จะหันกลับไปมอง
“ตาธัญญ์! กลับมาเดี๋ยวนี้นะ ตาธัญญ์!”
“คุณป้า!” เป็นมุกดาที่รีบปรี่เข้ามาประคองร่างอ่อนแอเอาไว้ ในใจนึกโทษไปถึงคนใจร้ายที่ไม่ยอมหันกลับมาดูดำดูดีแม่ตัวเองเลย
“ป้าไม่เป็นไร หนูอย่าไปฟังที่พี่เขาพูดนะลูก ไม่ต้องไปใส่ใจ” แม้ท่านจะปลอบใจเธอแบบนั้นแต่ใครเลยจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้
“อย่าไปบังคับคุณธัญญ์เลยนะคะคุณป้า” เธอคงพูดได้เท่านี้ และหวังว่าท่านจะยอมเข้าใจว่าไม่ว่าจะเมื่อไรธัญญ์ก็ไม่มีวันรักเธอ
ความจริงแล้วเรื่องที่พ่อของเธอเอาชีวิตตัวเองเข้าปกป้องพ่อเขามันก็ผ่านมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว เธอเองก็ไม่ได้ร้องขออะไร เพราะเท่าที่ทุกคนให้มามันก็มากเกินพอแล้ว
“ไม่ได้ ป้าคงตายตาไม่หลับแน่ถ้าตาธัญญ์เอาผู้หญิงร้ายกาจคนนั้นมาทำเมีย ถือว่าเห็นแก่ป้าสักครั้ง มุกช่วยป้านะลูก แต่งงานกับพี่เขา” คำถามมันไม่ได้อยู่ที่ว่าเธออยากแต่งงานกับเขาหรือเปล่า แต่มันขึ้นอยู่กับว่าเขาจะยอมแต่งกับเธอหรือเปล่านี่สิ และเท่าที่เห็นเมื่อครู่ก็ชัดเจนมากพอแล้วว่าคำตอบของเขาคือ ‘ไม่’
เป็นอีกครั้งที่ดนูต้องแบกรับความหนักใจเพื่อเข้ามาเจรจากับบุตรชายถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ ภายในบ้าน ทันทีที่เข้าใกล้เขาก็ทิ้งตัวลงนั่ง สายตาจ้องมองไปที่ร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่าย ที่ยิ่งโตก็เหมือนยิ่งถอดแบบตนเองสมัยหนุ่ม ๆ ออกมาให้เห็นราวกับฝาแฝด จะต่างกันก็แต่นิสัยที่เหมือนลูกชายจะได้ผู้เป็นตาไปจนหมด ยิ่งไอ้ความเด็ดเดี่ยวไม่ยอมใครยิ่งเหมือนราวกับส่องกระจก
“ผมมีคนรักอยู่แล้วครับพ่อ แล้วผมก็รักเธอมากด้วย ที่สำคัญผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเด็กนั่น ไม่ว่าพ่อจะพูดยังไงคำตอบของผมก็จะไม่มีวันเปลี่ยนไปจากนี้ครับ” เรื่องนั้นเขาเองก็พอจะรู้เรื่องมาจากภรรยาอยู่บ้าง อีกทั้งท่าทีที่ลูกชายแสดงออกกับหนูมุกดาก็เห็นชัดว่าไม่มีความชอบพอแอบแฝงอยู่ในแววตาเย็นชาคู่นี้เลยแม้แต่น้อย
ทั้ง ๆ ที่เด็กในปกครองของภรรยาก็ออกจะน่ารัก แต่แค่ความน่ารักเห็นทีคงเอาชนะใจลูกชายของเขาไม่ได้ ซึ่งนั่นก็น่าเห็นใจเด็กทั้งสองอยู่ไม่น้อย แต่ในส่วนของภรรยานั้นก็คงยากจะอธิบายเช่นกัน
“น้องไม่ไว้ใจผู้หญิงคนนั้นเลยค่ะคุณพี่ มองตาก็รู้แล้วว่าตั้งใจจะจับตาธัญญ์ ยังไงน้องก็ไม่ยอมรับผู้หญิงแบบนั้นมาเป็นสะใภ้แน่ คนเดียวที่น้องคิดว่าเหมาะสมกับตาธัญญ์มีแค่ยัยมุกคนเดียว” เมื่อภรรยายื่นคำขาดมาเช่นนั้น เขาในฐานะสามีจะกล้าไปขัดใจอะไรได้
“ตั้งแต่ธัญญ์เกิดมา พ่อยังไม่เคยขออะไรธัญญ์เลยสักอย่าง ถ้านี่เป็นสิ่งแรกที่พ่อจะขอ ธัญญ์ให้พ่อได้ไหมลูก” แม้จะรู้ว่าคำขอนี้อาจทำให้ลูกรู้สึกว่าถูกบังคับ แต่เพื่อความสบายใจของภรรยาที่ตอนนี้ป่วยเป็นโรคหัวใจแล้วเขายินดีทำทุกอย่างเพื่อความสบายใจของเธอ และก็เชื่อว่าลูกชายเองจะเข้าใจถึงความหวังดีนี้ในสักวันหนึ่ง
“แต่พ่อครับ”
“แต่งกันไปก่อน ค่อย ๆ เรียนรู้กันไปจนกว่าน้องจะเรียนจบ ถึงวันนั้นถ้าธัญญ์ยังยืนยันคำเดิมว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับน้อง พ่อจะเป็นคนไปคุยเรื่องนี้กับแม่เราเอง” เมื่อพ่อยืนยันมาแบบนั้นเขาจะว่าอะไรได้ แต่ถึงต่อให้ตกลงก็ยังต้องเรียกอีกคนให้ทำความเข้าใจก่อน
“ที่ฉันยอมแต่งงานกับเธอก็เพราะถูกแม่บังคับ หลังจากเธอเรียนจบเราสองคนจะเข้าไปหาท่านพร้อมกัน และเธอจะต้องเป็นคนไปบอกท่านด้วยตัวเองว่าเราสองคนไปกันไม่รอด ถ้าเธอเอ่ยปากด้วยตัวเองยังไงท่านก็ต้องยอมให้เราหย่ากัน” นี่นับเป็นประโยคที่ยาวที่สุดเท่าที่ ‘เขา’ เคยพูดกับเธอ มันคงดีกว่านี้หากประโยคที่แสนยาวนี้ไม่ได้สร้างความเจ็บปวดให้ได้รู้สึก แต่จะไปโทษเขาก็คงไม่ได้
คนไม่รักจะมาบังคับให้รักได้อย่างไร เพราะรู้ซึ้งถึงความชัดเจนนี้ดีเธอจึงทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ เขาว่ามาแบบไหนก็คงต้องสุดแล้วแต่ใจเขาต้องการก็เท่านั้น
“เธอต้องหย่าให้ฉันทันทีที่เรียนจบ และอย่าได้พยายามยื้อเวลาเด็ดขาดเมื่อเวลานั้นมาถึง เพราะฉันมีคนที่ฉันรักและอยากแต่งงานอยู่แล้ว ซึ่งคน ๆ นั้นไม่ใช่กาฝากอย่างเธอ” มุกดาจำต้องตอบรับคำสั่งนั้นเบา ๆ เพราะไม่อยากสร้างปัญหาให้เขาไปมากกว่านี้
เมื่อทำความเข้าใจกับคนโปรดของมารดาเป็นที่เรียบร้อยธัญญ์ก็รีบขับรถออกมาหาคนรักที่คอนโดฯ ในทันที เพื่อบอกให้เธอได้รู้จากปากของเขา ซึ่งแน่นอนว่าทันทีที่รู้แขไขก็เกิดอาการไม่พอใจทันที
“แม่คุณพยายามจะกันแขออกไปจากชีวิตคุณใช่ไหมคะท่านถึงได้ทำแบบนี้ แขไม่ยอมนะคะธัญญ์” ไม่มีใครรับได้ที่ต้องกลายเป็น ‘เมียน้อย’ ทั้ง ๆ ที่มาก่อน เธอคนหนึ่งล่ะที่ไม่มีทางยอมแน่
อีแก่นั่นมันฉลาด อีกทั้งยังแผนสูง แต่คิดจริง ๆ เหรอว่าเรื่องแค่นี้จะหยุดเธอได้ เพราะถึงต่อให้เธอคิดอยากจะยอมแพ้ ลูกชายสุดที่รักของมันก็คงไม่ยอมอยู่ดี เพราะเขารักเธอมาก ซึ่งนี่ต่างหากที่มันทำให้เธออยู่เหนือกว่าทุกคน
“แค่สี่ปีเท่านั้นครับแข ผมจะรีบหย่าทันทีที่เด็กนั่นเรียนจบ แขเชื่อใจผมนะครับ ผมไม่มีวันรักผู้หญิงคนนั้น” แม้จะค่อนข้างมั่นใจว่าถึงวันนั้นเมื่อไรมารดาคงมีแผนสำรองเตรียมไว้รอ แต่ธัญญ์ก็เชื่อมั่นในคำสัญญาของพ่อที่มีต่อเขาอยู่ ว่าท่านจะทำทุกอย่างให้ง่ายขึ้นสำหรับทุกคน และไม่ว่าจะยังไงเขาก็เชื่อในความรู้สึกตัวเอง ความรู้สึกที่ว่าคนที่เขารักคือแขไข เธอคนเดียวเท่านั้น
