บทที่ 1 ภินท์พัง [3]
โบนัสพูดอะไรไม่ออก ท้ายที่สุดแล้วมันยังเป็นแผลสด ไม่มีใครเยียวยาระมิงค์ได้เท่าตัวเธอเอง
ทั้งสองเงียบไปพักใหญ่ จนกระทั่งอยู่ๆ ระมิงค์ก็เงยหน้าขึ้น สบตากับโบนัสอย่างจริงจัง “ฉันคิดว่าหลังเรียนจบจะกลับไปอยู่บ้าน”
“ที่เชียงใหม่เหรอ?”
“อืม…มันคงถึงเวลาแล้วล่ะ”
“แต่ที่นั่นไม่มีใครเลยไม่ใช่เหรอ”
ระมิงค์ยิ้ม สายตาเต็มไปด้วยความว่างเปล่า “ฉันเกิดมาตัวคนเดียว ตายไปก็ตัวคนเดียว ในเมื่อฉันมันเป็นดาวหายนะอย่างที่คนอื่นๆ ว่ากัน ถ้าอย่างนั้นก็ให้ฉันอยู่คนเดียวเถอะโบ”
เดิมทีเธอไม่เคยเชื่อเรื่องดาวหายนะหรืออะไรทั้งสิ้น แต่เมื่อวันนี้มาถึง ระมิงค์ก็รู้สึกว่าความจริงมันควรจะเป็นเช่นนั้น
“หยุดพูดเลย เธอยังมีฉันอยู่นะมิงค์ นี่ใคร? ดาราดังท่านหนึ่ง ฉันคบกับเธอจนได้เป็นดาราดัง แล้วเธอจะมองว่าตัวเองเป็นดาวหายนะได้ยังไงกัน เธอน่ะดาวนำโชค อีคนที่มองว่าเธอเป็นตัวหายนะต่างหากที่สมควรจะโชคร้าย” น้ำเสียงกรุ่นโกรธดังขึ้นอย่างเหลืออด
ตั้งแต่เขาพบกับระมิงค์ตอนเข้ามัธยมปลายแรกๆ มีเพื่อนจากโรงเรียนเก่าของระมิงค์ที่สอบมาเรียนในกรุงเทพฯ ด้วยกันต่างก็พูดถึงข่าวลือไร้สาระ บอกว่าระมิงค์เป็นตัวหายนะที่ทำให้คนรอบข้างต้องฉิบหาย พ่อของระมิงค์เสียชีวิตตั้งแต่เล็ก แม่ก็ป่วยหนักหลังจากระมิงค์ย้ายมาเรียนที่กรุงเทพฯ ไม่นานก็เสียชีวิต ญาติพี่น้องคนอื่นๆ ต่างก็แยกย้ายกระจัดกระจาย
แต่โบนัสก็รู้ว่าจริงๆ แล้วระมิงค์ยังมีป้าที่เป็นผู้ปกครองอีกคนหนึ่ง แต่ท่านอยู่ต่างประเทศ ขณะที่ญาติคนอื่นๆ ต่างก็แยกย้ายไปตั้งตัวในจังหวัดอื่นของไทย
หลังจากแม่ของระมิงค์เสียชีวิตท่านก็ทิ้งมรดกก้อนหนึ่งไว้ แต่ไม่มีใครกล้าแตะต้องมัน แม้กระทั่งพ่อเลี้ยงของเธอ
ทุกคนต่างก็ดูถูกระมิงค์ว่าเป็นเด็กทุน บ้านจนและเป็นตัวหายนะ
แต่ไม่มีใครรู้ว่ามรดกที่ระมิงค์ได้รับนั้นคือที่ดินหลายร้อยไร่ในเชียงใหม่และรีสอร์ตซึ่งครอบครองภูเขาทั้งลูก รวมถึงมรดกทางวัฒนธรรมบางอย่างที่มีเพียงเธอและลูกพี่ลูกน้องได้รับสืบทอดมา
แต่บางทีอาจเป็นเพราะระมิงค์ก็ไม่เคยโอ้อวดตัวเองว่าเธอเป็นทายาทเศรษฐี และส่วนหนึ่งก็คือมรดกที่เธอได้รับนั้นมีอาถรรพ์บางอย่าง
อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ทำให้โบนัสยิ่งหงุดหงิดทุกครั้งที่ระมิงค์โดนดูถูกต่างๆ นานา หากไม่ใช่เพราะเขาต้องสร้างภาพเป็นศิลปินดีเด่น เขาอาจจะตบปากคนที่พูดจาว่าร้ายเพื่อนสาวให้เลือดออกสักตั้ง
“แล้วจะเอาไง จะเอาเช็คไปคืนหรือจะฉีกทิ้งดีล่ะ?”
ระมิงค์ชะงักนิ่งไปพักหนึ่ง “ฉันจะไม่คืน”
ใบหน้าของโบนัสค่อยๆ มีรอยยิ้ม “ในที่สุดก็คิดได้ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เอาเช็คไปขึ้นเงินจ้ะ ยิ่งเราแสดงว่าไม่แคร์เท่าไร ไอ้ผู้ชายเฮงซวยนั่นจะได้เสียเซลฟ์ บังอาจมาบอกเลิกเพื่อนสาวของฉันที่ทั้งสวยทั้งรวยเงียบๆ แบบนี้ โอ๋เอ๋นะ” โบนัสลูบแก้มเพื่อนสาวด้วยความเอ็นดู
หัวใจของระมิงค์ค่อยๆ มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกเล็กน้อย เธอพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มบางๆ “อือ ฉันรู้แล้ว”
“แล้วที่เธออยากกลับไปบ้านเกิด เพราะอยากหนี หรืออยากทำอะไร ถ้าอยากจะหนีฉันว่ามันอาจไม่ได้ผลหรอกนะ เรื่องบางเรื่องการหนีไม่ใช่ทางออก แต่เวลาต่างหากที่จะทำให้เธอคิดออกว่าควรทำอย่างไร” โบนัสให้ข้อเสนอแนะ
ระมิงค์นิ่งงัน ไพล่คิดไปถึง ‘คุ้มพระพิงค์’ บ้านเกิดของเธอที่เชียงใหม่ หัวใจพลันรู้สึกรุ่มร้อนเล็กน้อย ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังรอคอยเธอ
แต่เพราะอดีตบางเรื่องมันขมขื่นเกินกว่าจะจดจำ หญิงสาวจึงแสร้งทำเป็นไม่สนใจมันมาหลายปี
ทว่าตอนนี้เมื่อเธอไร้ที่พึ่งอีกต่อไป น่าขันนักที่สิ่งแรกในหัวก็คือคุ้มพระพิงค์ที่เธอเติบโตมา
บ้าน…ไม่ใช่ที่ที่เธอมีแต่ความทรงจำเลวร้ายเท่านั้น แต่มันยังซ่อนความทรงจำที่สวยงามของครอบครัวในอดีตอีกด้วย
คุณตาที่รักและเอ็นดูเธอ พ่อ แม่ ป้า น้า ลูกพี่ลูกน้อง ทุกคนล้วนแต่เป็นคนที่รักเธออย่างไม่มีเงื่อนไข
เธอคิดถึงความสุขในอดีต คิดถึงทะเลดอกพญาเสือโคร่งที่บานทั่วทั้งหุบเขา แต่เพราะในความสวยงามนั้นซ่อนความเจ็บปวดบางอย่าง ระมิงค์จึงไม่เคยคิดกลับไป
เดิมทีเพราะเธอพบรักกับผ่านฟ้า คิดว่าโลกของเธอในตอนนี้มีเพียงเขาก็พอแล้ว
ทว่าท้ายที่สุด…ความรักที่เธอคิดว่ามันคือนิรันดร์ก็พังทลายในชั่วพริบตา
ดวงตาของระมิงค์ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาเล็กน้อย เธอยังอยากรู้ว่าคู่หมั้นของผ่านฟ้าหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ก็กลัวว่าหัวใจจะทนไม่ไหว แต่เมื่อคิดว่าเธอเองก็มีศักดิ์ศรีเช่นกัน ดังนั้นเธอจะทำให้ผู้ชายคนนั้นรู้ว่าคนอย่างระมิงค์ไม่ใช่ของตาย
โบนัสรู้สึกว่าระมิงค์จะไม่เปลี่ยนใจง่ายๆ หลังจากเสียศูนย์ เขาจึงทำได้เพียงเป็นผู้สนับสนุนที่ดีเท่านั้น “ดีมากเพื่อนสาว ถ้าอยากจะเดินหน้า หรืออยากจะทำอะไรก็ทำเลย ถ้าทำแล้วเหนื่อยก็อย่าลืมว่ามีฉันอยู่ตรงนี้ โอเคไหม เธอต้องกลับมาสวย เชิด ทำให้เขาเสียดาย”
“อือ…ฉันจะทำให้เขาเสียใจ” แม้ว่าเธออาจจะไม่มีโอกาสได้พบผ่านฟ้าอีก แต่เหมือนฝันน้องสาวแท้ๆ ของเขายังเรียนอยู่ที่เดียวกับเธอ แน่นอนว่าอีกฝ่ายจะต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นเธอจะทำให้เหมือนฝันเห็นว่าคนอย่างระมิงค์แค่ผู้ชายบอกเลิกมันไม่ตายหรอก
“ต้องอย่างนี้สิ แล้วเธอยังอยู่คอนโดฯ เขาต่อไหม?”
“…” ระมิงค์ชะงัก ใบหน้าค่อยๆ กลายเป็นสีซีด ท่าทางราวกับลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม “ใช่…ฉันลืมไปว่ายังอยู่คอนโดฯ ของเขา”
ก่อนหน้านี้เธอพักหอในมหาวิทยาลัย แต่เพราะผ่านฟ้ากลัวเธอลำบากจึงซื้อคอนโดฯ ให้เธออยู่โดยที่เขาแวะมาหาในบางครั้ง ก่อนหน้านี้เธอไม่ทันได้คิด แต่ตอนนี้มันกลับทำให้เธอกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“โบ ไปส่งฉันย้ายของได้ไหม”
“แต่ฉัน…” เขาเป็นนักแสดงวาย แม้ว่าค่ายจะขายคู่จิ้น แฟนคลับก็อยากให้เขาคบกับผู้หญิงมากกว่า แต่อย่างไรก็ตามการบอกว่ามีแฟนได้ไม่เท่ากับอนุญาตให้มีแฟน เพราะแฟนคลับส่วนใหญ่รับไม่ได้เมื่อเขาใกล้ชิดกับสตรีเพศหรือแม้กระทั่งบุรุษอื่นที่ไม่ใช่คู่จิ้น
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เขาก็มีท่าทีลำบากใจ “เธอก็รู้ว่าฉันเป็นนักแสดง ถ้าขึ้นห้องกับผู้หญิงแล้วมันจะทำให้เธอเสียหายหรือเปล่า”
“ฉันไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่” ระมิงค์ว่า ก่อนจะมองหน้าโบนัส “เธอโอเคไหม แฟนคลับจะด่าหรือเปล่า”
“จริงๆ เราก็ไม่ได้มีอะไรกันนี่ เมื่อก่อนนอนด้วยกันก็บ่อยออก แต่ว่าคนจะมองว่าเราควงกันขึ้นคอนโดฯ นะ”
“ถ้าเธอไม่ติดฉันก็ไม่ติด” ระมิงค์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เธออยากรู้นักถ้าเธอพาผู้ชายมาเก็บของในคอนโดฯ ผ่านฟ้าจะรู้สึกยังไง แม้ว่าเขาจะไม่รักเธอแล้ว แต่ก็ต้องรู้สึกเสียหน้าบ้างใช่ไหม
“ตกลง ถ้าอย่างนั้นไปส่งฉันที่บ้านก่อนได้ปะ ฉันกลัววิกจะพัง”
