บทที่ 1.3 ฉลองเรียนจบ
หลังจากเห็นภาพความสนิทสนมของรุจกวีกับคนที่เรียกตัวเองว่าพีช ใบหน้าสะสวยทรงเสน่ห์ของเจ้าหล่อนฉายแววอำมหิตอย่างบอกไม่ถูก สายตาที่ปรายมองมานั้นจิกกัดจนถึงขั้วหัวใจ ความร้ายกาจคงจะซ่อนอยู่ภายใต้ความสวยงามเป็นแน่ มนสิชาจดจำแววตาแบบนั้นได้ ครั้งหนึ่งเธอเคยพบกับคนที่มีแววตาร้ายกาจขนาดนี้ ในวันนั้นเป็นวันที่เธอสูญเสียทุกอย่าง พ่อกับแม่ที่เป็นเสาหลักเสียชีวิตจากตรอมใจเพราะธุรกิจโดนฉ้อโกงจนตัวเองล้มละลาย มันคือแววตาของเด็กหญิงคนหนึ่งที่เคยเข้ามายึดครองทุกอย่างของบ้านพิทักษ์ระพี แววตาชิงชัง ริษยาของพิมพ์พร ลูกสาวเพื่อนสนิทของพ่อที่คดโกง ยักยอกทุกอย่างที่ควรเป็นของเธอไป พิมพ์พรกราดเสียงแหลมของเธอขับไล่มนสิชาที่ยังเยาว์ เสียงเธอแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย ครั้งนั้นมนสิชาบอกกับตัวเองว่าจะจำทุกคนที่ทำร้ายครอบครัวของเธอ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปการกล่อมเกลาของผู้เลี้ยงดูทำให้จิตใจของมนสิชาตัดขาดความอาฆาต แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอต้องกลับมาพบความเจ็บปวดอีกครั้ง
บ้านไม้ทรงไทยยกพื้นสูง ชั้นล่างเทปูนปูกระเบื้องสีฟ้าครามสดใส ชั้นบนมีเฉลียงเปิดโล่งทรงหลังคาหกเหลี่ยมสำหรับนั่งพักผ่อนและมีโต๊ะอาหารขนาดย่อมที่สามารถนั่งสังสรรค์กันภายในครอบครัวได้ แสงไฟจากนีออนทรงยาวส่องสว่างแข่งกับแสงจันทรายามค่ำคืน เสียงอึกทึกครึกโครมเฮฮาคล้ายมีการชุมนุมกันดังขึ้นในบ้าน
ที่นี่คือบ้านสวนย่าอ่อน ซึ่งมีหญิงชราวัยเจ็ดสิบห้าปีเป็นเจ้าของบ้าน นางชื่ออ่อน คนจึงเรียกกันติดปากว่าสวนย่าอ่อน สมาชิกในบ้านต่างกุลีกุจอกันหยิบจับ ยกโน่นนี่มาตกแต่งบ้านและโต๊ะอาหาร ข้าวปลาอาหาร ผลไม้หลากชนิด และขนมไทยสีสันน่ารับประทานวางเป็นระเบียบอยู่บนโต๊ะ ขาดแต่เพียงเจ้าภาพของงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้
คนงานในสวนลงความเห็นกันว่าจะจัดงานแสดงความยินดีและต้อนรับบัณฑิตสาวคนใหม่ เธอเป็นที่รักของทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนงานหรือเพื่อนบ้าน หญิงสูงวัยชะเง้อมองออกไปนอกบ้านแต่ยังไร้วี่แววของหลานสาวสุดที่รัก
“นายแม่จะให้พวกเรามาร่วมงานเลี้ยงด้วยจริงๆ หรือครับ” หนานอินลูกจ้างในสวนที่อยู่ดูแลบ้านสวนคุณย่ามา กว่ายี่สิบปีเอ่ยขึ้น
“ที่นี่ทุกคนอยู่แบบครอบครัวเดียวกัน มีงานเลี้ยงก็ต้องมาร่วมยินดีด้วยกันสิ...เห็นฉันเป็นคนใจจืดใจดำอย่างนั้นเหรอเจ้าหนานอิน” คำตอบของคุณย่าอ่อนทำให้เหล่าคนงานเฮด้วยความดีอกดีใจ
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ พวกเราดีใจจนทำอะไรไม่ถูกมากกว่าจ้ะ”
“อืม เตรียมข้าวของให้เรียบร้อยเถอะ เดี๋ยวคุณหนูตัวแสบกลับมาคงจะหิวโซ”
“คุณย่าขา” ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงเรียกร่างบอบบางก็โผเข้ากอดหญิงสูงวัย เนื้อตัวที่มือย่นสัมผัสเย็นเฉียบ แผ่นหลังสั่นสะท้าน เสียงสะอื้นเบาๆ แว่วออกมา พลอยทำให้นางใจคอไม่ดีไปด้วย ทุกคนมองดูคุณหนูของตนเองด้วยความตกใจ
“เป็นอะไรหลานย่า ทำไมถึงร้องไห้ขนาดนี้” เวลานี้มนสิชาเป็นดั่งลูกนกที่เจอความเหน็บหนาวกำลังซุกตัวเข้าหาความอบอุ่น หญิงสาวค่อยๆ เงยหน้ามองย่าอ่อนช้าๆ หยาดน้ำตาที่เพิ่งไหลรินถูกนิ้วย่นปาดจนแห้ง
“คุณย่าขา” ความทุกข์ที่มียังไม่สามารถถ่ายทอดเป็นคำพูดใดๆ ดวงตากลมที่แดงก่ำกวาดสายตามองรอบกาย ใบหน้าที่ตกใจของเหล่าคนงานหันมายังเธอ มนสิชารับรู้ว่าสิ่งที่รอคอยเธออยู่นั้นเกิดจากความตั้งใจของทุกคน เธอไม่ควรทำลายความรื่นเริงนั้น แล้วแปรเปลี่ยนเป็นความทุกข์
“นี่ทุกคนเตรียมฉลองอะไรกันหรือคะ” หญิงสาวปาดน้ำตาจากใบหน้าจนแห้งพร้อมสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“นายแม่บอกว่าคุณหนูเรียนจบแล้ว แถมยังคว้าเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง พวกเราเลยอยากจะเลี้ยงฉลองให้คุณหนูครับ” เพียงได้ยินหัวใจดวงเล็กก็สั่นไหวเหมือนโดนเครื่องปั๊มหัวใจมากระตุ้น
“จริงหรือคะคุณย่า ขอบคุณค่ะ” มือเรียวไหว้อย่างนอบน้อม
“ยินดีด้วยนะคะคุณหนูคนเก่ง”
“ขอบใจจ้ะป้าดาวเรือง อาหารฝีมือป้าน่าทานทุกอย่างเลยนะเนี่ย” หญิงสาวทำจมูกย่นสูดกลิ่นอาหาร เธอเพิ่งรับรู้ว่าหลังความเศร้าหมองมันมีจุดเล็กๆ ที่เรามักจะมองข้ามไป จุดนั้นแหละที่เขาเรียกว่าความสุข ปากอิ่มที่แห้งผากฝืนยิ้มให้ทุกคนสบายใจ แต่เมื่อรอยยิ้มปรากฏแล้วกลับพบว่ามีสารบางอย่างไหลแทรกซึมเข้ามาในร่างกาย มันทำให้เธอมีความรู้สึกอยากก้าวไปข้างหน้ามากกว่าถอยหลังหรือย่ำอยู่กับความเสียใจ
“อย่าเพิ่งค่ะคุณหนู...ป้าว่ากลับมาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อนดีกว่า อาหารยังออกมาไม่ครบเลยนะคะ” หญิงสูงวัยอีกคนเอ่ย นางทั้งรักและใจดีกับมนสิชาตั้งแต่เธอยังเด็ก
“ว้าว พริกหวานจะรีบมาชิมนะคะ” เธอฝืนทำเสียงใส
ค่ำคืนนี้บ้านสวนคุณย่าอ่อนครื้นเครงด้วยเสียงร้องรำทำเพลงของคนงานในสวนที่มาร่วมยินดีกับมนสิชา อาหารต่างๆ หมดเกลี้ยงในไม่กี่อึดใจ หญิงสาวมองดูหนุ่มสาวหยอกล้อกันแล้วก็ต้องกลั้นสะอื้นเอาไว้ให้มากที่สุด เธอหลบเลี่ยงสายตาของคนในบ้านออกมาสูดอากาศยามค่ำคืน
