ตอนที่ 2 เขย่าพุ่มโบตั๋น (1)
ซ่งเว่ยเหลียงกลับไปเรือนจิ้งถงซึ่งเป็นเรือนส่วนตัวที่เขากับหลี่ซื่อ[2] อาศัยอยู่ เป็นเรือนที่มีสวนสวยที่สุดในจวนก็ว่าได้
ซ่งเว่ยเหลียงอายุยี่สิบแล้ว เขาแต่งหลี่ซวงเจี๋อเข้าจวนเป็นภรรยาเอกตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อน จวบจนบัดนี้ยังไม่มีบุตรสักคน เรื่องนี้ท่านพ่อท่านแม่ของเขาก็ใช่ว่าจะไม่ร้อนใจ แต่จนใจที่บุตรหลานแซ่ซ่งมีบุตรยากอยู่แล้ว คงสืบเนื่องมาจากสายเลือดของสกุล เพราะคุณชายรองซ่งเสียเจิ้นแต่งภรรยาเข้าจวนมาสองปีกว่า ก็ยังไม่มีบุตรสักคน ยังมีอนุภรรยาของเขาอีกสองคนก็ไม่มีวี่แววว่าจะตั้งครรภ์
[2] ธรรมเนียมการเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วของจีน จะเติมคำว่า “ซื่อ” ที่แปลว่า “แซ่” ต่อท้ายแซ่เดิมของสตรีคนนั้น
อิ๋นจื่อเดินตามมาจนถึงประตูโค้งทางเข้าเรือนจิ้งถง นางหยุดฝีเท้าลงแค่นั้นเพราะเรือนจิ้งถงไม่ใช่สถานที่ที่นางควรเฉียดกราย
ซ่งเว่ยเหลียงเองก็หยุดและหันมองนาง “อีกสามวันกลับเยี่ยเฉิงไปเซ่นไหว้สุสานบรรพชน”
“เจ้าค่ะ” อิ๋นจื่อตอบรับพร้อมพยักหน้า
เขาเม้มปากและคว้าข้อมือนาง “ตามมา”
“คุณชาย! ตกลงกันแล้วว่าข้าจะไม่เข้าไปในเรือนจิ้งถง”
“กลัวซวงเจิ๋ย?”
อิ๋นจื่อไม่ตอบ นางถูกนายท่านซ่งเฉียงเก็บมาเมื่อเกือบสิบปีก่อน ตอนนั้นอายุแค่หกปี จำเรื่องราวที่ผ่านมาไม่ได้ รู้แค่ว่านางนอนอยู่ข้างถนน อากาศหนาว บาดเจ็บหลายแห่งเหมือนถูกทำร้ายมา มีไข้ขึ้นสูง ป่วยครั้งนั้นแทบจะคร่าชีวิตนางไปแล้ว วันนั้นนายท่านซ่งหรือบิดาของซ่งเว่ยเหลียงไปเจอเข้าและพากลับมาด้วย ปล่อยให้สาวใช้ในเรือนฮูหยินผู้เฒ่าดูแลจนนางหายป่วยแต่กลับทำให้น้ำหนักตัวนางเพิ่มขึ้นไม่ได้ นางตัวผอมแห้งเล็กบางตั้งแต่เล็กจนโต
มีครั้งหนึ่งซ่งเว่ยเหลียงกับซ่งเสียเจิ้นมาคำนับฮูหยินผู้เฒ่าและบิดามารดาตอนเช้า ซ่งเว่ยเหลียงเห็นนางยืนอยู่ในห้องโถงนั้นด้วย เขาจึงขอนางจากนายท่านซ่ง จากวันนั้นอิ๋นจื่อก็เลยมีหน้าที่ดูแลห้องหนังสือของคุณชายใหญ่และพักอยู่ในห้องปีกข้างของเรือนอักษรหลังนั้นจวบจนทุกวันนี้ เมื่อว่างจากงานในเรือนอักษร นางจะไปเรียนปักผ้า ทำกับข้าวและอื่นๆ อีกหลายอย่างกับพวกแม่นมและสาวใช้ของฮูหยินผู้เฒ่า
ส่วนเรือนอักษรกับเรือนจิ้งถงนั้นกั้นไว้ด้วยกำแพง แค่เดินผ่านประตูโค้งเข้าไปก็ถึงแล้ว เพียงแต่นางไม่ได้รับอนุญาตจากหลี่ซื่อภรรยาของเขา หลี่ซื่อเป็นคนขี้หึงมาก ขี้ระแวง แต่นางกลับมีใบหน้างดงาม ทั้งเรือนร่างเย้ายวนที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเทียบได้ หลี่ซื่อไม่อยากให้อิ๋นจื่นเข้าไปวุ่นวายในเรือนจิ้งถง เลยห้ามไม่ให้นางไปรับใช้ในเรือน ให้อยู่แต่ในเรือนอักษรเท่านั้น
อิ๋นจื่อไม่กล้าคิดกับซ่งเว่ยเหลียงเกินเลย แค่ทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อตอบแทนอาหารและที่พักและบุญคุณที่นายท่านซ่งช่วยเหลือไว้ก็พอ แต่ทั้งฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านและซ่งฮูหยินไม่พูดถึงเรื่องสัญญาขายตัว ไม่ได้เอ่ยว่าจะให้นางขายตัวเป็นสาวใช้เข้าสกุลซ่ง ฐานะของนางจึงกำกวมจนถึงวันนี้ จะว่าเป็นเจ้านายก็ไม่ใช่ สาวใช้ก็ไม่เชิง ด้วยเพราะฮูหยินผู้เฒ่ากับซ่งฮูหยินดีกับนางมาก บางครั้งยังพาไปร่วมงานเลี้ยงของชนชั้นสูง ให้แต่งตัวสวยๆ บอกกับใครต่อใครว่าเป็นเด็กสาวที่นายท่านซ่งช่วยไว้ บ่าวไพร่ในจวนเลยไม่มีใครกล้าล่วงเกินนาง มีก็แต่นายหญิงในเรือนจิ้งถงเท่านั้นที่เห็นนางต่ำต้อย มักจะดุด่าเสียดสี แต่อิ๋นจื่อก็ไม่อาจตอบโต้
ขณะที่เหม่อลอยอยู่นั้นก็ถูกซ่งเว่ยเหลียงดันไปใต้ต้นอู๋ถง ริมฝีปากประกบลงมาทันที จุมพิตเขาร้อนแรงนัก เขาตวัดลิ้นกวาดต้อนในโพรงปากนางด้วยความรวดเร็ว
“คุณชาย!” อิ๋นจื่อผลักอกเขา
“เงียบ!”
เขาเคล้นคลึงหน้าอกนุ่มผ่านเสื้อผ้าขณะที่มือหนึ่งตรึงท้ายทอยสวยให้นางรับจุมพิตร้อนแรงของเขาอีกครั้ง อิ๋นจื่อถูกจูบจนมึนงง หายใจติดขัด สองมือที่พยายามผลักแผ่นอกกว้างเปลี่ยนมาเป็นกำเสื้อตรงหน้าอกเขาไว้แน่น ริมฝีปากขยับตอบรับไปตามจังหวะบดเคล้าสอดแทรกลิ้น เสียงดูดดุนกังวานอยู่ในความเงียบของยามราตรีอันดำมืดและหนาวเหน็บ ไม่รู้นานเท่าใดที่เขาจูบนาง แต่รู้ว่านานมาก พอเขาถอนปากออกนางก็พยายามสูดลมหายใจ เขาก็ก้มลงมาจูบอีก เมื่อเห็นว่านางหายใจไม่ออก เขาก็ถอนปากออกให้นางสูดลมหายใจเข้าไป ทำอยู่เช่นนี้หลายรอบจนริมฝีปากนางถูกเขาบดจูบจนบวมเจ่อไปแล้ว
แคร่ก!
เสียงประหลาดดังมาจากทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหิน ตามมาด้วยเสียงกระซิบแหบแห้งของผู้ชาย
“อาซิ่ว” เสียงนั้นเรียกอาซิ่วที่กำลังเดินผ่านประตูโค้งเข้าไปยังเรือนจิ้งถง
