2 หมิงจูคนใหม่
นี่ก็อยู่ในสิ่งที่นางคิดไว้เช่นเดียวกัน ของมีค่าพวกนี้หายไปอยู่กับสองแม่ลูกนานเกินไปย่อมต้องขอคืนไม่ง่ายอยู่แล้ว ทว่าหมิงจูก็เตรียมการเรื่องนี้ไว้แล้วเช่นเดียวกัน
หมิงจูหัวเราะเบาก่อนเอ่ยตอบ “พวกเจ้านี่ใช้ของอย่างไม่รู้คุณค่าเสียจริงนะ”
คำพูดนี้ทำให้สองแม่ลูกมีสีหน้าฉงนทันที พวกนางมองตามหมิงจูที่หยิบเครื่องประดับหลายชิ้นขึ้นมาชูตรงหน้าพวกนาง
“อย่างที่บอกว่าเครื่องประดับและเครื่องเรือนจากสินเดิมของข้านั้นได้มาไม่ครบซึ่งก็น่าจะเป็นเพราะพวกเจ้านำของพวกที่ไร้ตราประทับไปขายแลกเงินมาแล้ว ส่วนของที่มีตราประทับอันเป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นของพระราชทานจากฮ่องเต้แก่ตระกูลไป๋นั้นพวกเจ้าคงเอาไปขายและพวกเขาไม่รับซื้อกระมัง จึงยังมีอยู่ในครอบครอง แค่นี้ก็น่าจะบอกได้แล้วว่าเป็นของใคร ยังมีอันใดจะแย้งได้อีกหรือ?!”
“ระเรื่องนะ...”
ตามจริงนอกจากเครื่องประดับที่มีตราสัญลักษณ์แล้วที่ก้นของหีบใต้แผ่นไม้อำพรางยังมีเครื่องประดับที่ไม่มีตราแต่เป็นของในรายการสินเดิมอีก แต่ถูกบังไว้ใต้แผ่นไว้ตามแผนการที่หมิงจูวางไว้ มิเช่นนั้นก็คงเอาออกจากจวนไปได้ยากเมื่อเจอคำปดหน้าด้านเมื่อครู่นั่นล่ะ
หมิงจูไม่สนว่านางจะใช้วิธีไม่ดีหรืออย่างไร เพราะการที่อีกฝ่ายหน้าด้านของให้พิสูจน์นี่ก็คือวิธีที่ไร้ความยุติธรรมเช่นกัน
หนามยอกย่อมต้องเอาหนามบ่งนั่นล่ะ
แววตาของหมิงจูแฝงไปด้วยความเยือกเย็น นางหันไปจ้องมองแม่สามีอย่างนางเจาและน้องสามีอย่างซุนเสวี่ยเหมยที่ยืนหน้าซีดเผือดอยู่ตรงนั้น ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ
“นอกจากเครื่องประดับและเครื่องเรือนเหล่านี้ ข้าขอให้พวกเจ้านำบัญชีร้านค้าและรายงานผลผลิตที่ดินของข้ากลับคืนมาด้วย นับจากนี้ของ ๆ ข้า ข้าจะเป็นคนดูแลเอง!”
นางเจายิ่งตึงเครียดกว่าเดิม ดูออกได้จากการขมวดคิ้วแน่นนั่น เพราะรายได้จากร้านค้าและผลผลิตพวกนั้นคือเงินที่นางเอามาใช้จ่ายส่วนตัวหากถูกริบกลับไปแล้วยามไปเดินตลาดจะใช้เงินที่ไหนมาจับจ่ายกันเล่า! สิ่งนี้ทำอย่างไรนางเจาก็ไม่ยอมเด็ดขาด!
“บัญชีร้านค้า? ผลผลิตที่ดิน? พวกนั้นข้าดูแลมาตลอดจนตอนนี้จากที่ขาดทุนกลับมามีกำไรแล้ว ในเมื่อเป็นหยาดเหงื่อของข้าก็ต้องเป็นของข้าสิ!”
ซุนเสวี่ยเหมยพยักหน้าเสริม “ใช่! ท่านแม่ดูแลมาตั้งนาน เจ้ายังมีหน้ามาทวงคืนอีกหรือ? เจ้าที่มันหน้าด้านหน้าทนจริงเชียว!”
หมิงจูหัวเราะเบาๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของนางเย้ยหยันจนเจากับซุนเสวี่ยเหมยอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปคนละก้าวอีกครา
“พวกเจ้าพูดได้ช่างหน้าไม่อายนัก” นางกล่าวเสียงเย็น “ทรัพย์สินเหล่านั้นเป็นสินเดิมของข้าแต่แรก การที่พวกเจ้าดูแลแทนข้า ไม่ได้ทำให้มันกลายเป็นของพวกเจ้า หากยังดื้อดึงอีก ข้าจะไปร้องขอให้ทางการมาตัดสินเสีย!”
คำขู่นั้นไม่ได้ทำให้นางเจาถอย กลับทำให้นางยิ่งเอ่ยอ้างสิทธิ์อย่างหน้าด้าน “เจ้ากล้าพูดเรื่องทางการ? ข้าเลี้ยงดูบุตรชายของข้ามาเหนื่อยยาก บัญชีร้านค้าและผลผลิตเหล่านั้นก็เพื่อสนับสนุนเขาและทำให้เจ้ากลายเป็นฮูหยินเอกดูแลจวนนี้อย่างสบาย ๆ นี่เจ้าคิดจะเอาไปหมดหรือ?”
หมิงจูมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชาเผยรอยยิ้มมุมปากอย่างน่ากลัว “ใช่ข้าจะเอาไปหมด และหากเจ้าอยากได้ก็ต้องแลกกับชีวิตบุตรีเจ้าก็แล้วกัน!”
ในพริบตา หมิงจูก็พุ่งตัวไปคว้าตัวซุนเสวี่ยเหมยมาจากกลุ่มบ่าว ก่อนดึงมีดสั้นที่ซ่อนไว้ออกมาจี้คอของนาง ท่ามกลางเสียงร้องตกใจของทุกคนและอาการอ้าปากค้างมองมาที่หมิงจูอย่างไม่คาดคิด ว่าจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้!
“ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้นะ!”
“พี่สะใภ้! ท่านจะทำอะไรข้าน่ะ!”
ซุนเสวี่ยเหมยกรีดร้อง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางได้แต่อ้าปากพูดแต่ไม่กล้าดิ้นมากนัก
หมิงจูหาได้สนใจคำถามไร้สาระนี้ไม่ นางมองสบตานางเจาก่อนพูดเสียงเรียบแต่แฝงความเด็ดขาด
“หากพวกเจ้าไม่เอาสิ่งที่ข้าต้องการมาให้ ข้าจะทำในสิ่งที่พวกเจ้าจะต้องเสียใจเดี๋ยวนี้!”
มีบ่าวหลายคนพยายามเข้ามาช่วย แต่ถูกหมิงจูหยุดยั้งเพียงใช้สายตากดดันไปพลางกดมีดเข้าที่คอของซุนเสวี่ยเหมยเบาๆ เพื่อเน้นย้ำว่าตนไม่ลังเลที่จะลงมือหากพวกเขายังคิดจะหาหนทางอื่นนอกเหนือจากที่นางสั่งอยู่อีก
ในที่สุดนางเจาก็หมดทางเลือก นางกัดฟันแน่นก่อนตะโกนสั่งบ่าวด้วยน้ำเสียงโมโหและเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“ไปเอาบัญชีร้านค้าและรายงานผลผลิตที่ดินมาเดี๋ยวนี้!”
ขณะที่รอของอยู่นั้นบริเวณหน้าเรือนก็กลับมาแตกตื่นอีกคราเมื่อมีเสียงฝีเท้าหนักดังขึ้นจากทางเดินที่นำมาสู่เรือนของนางเจา เสียงตวาดกร้าวปรากฏขึ้นก่อนตัวคนด้วยซ้ำ
“หยุดเดี๋ยวนี้! อาจู เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ!”
เสียงของซุนฮ่าวเทียนเรียกให้ทุกคนหันไป ฮ่าวเทียนก้าวเข้ามาพร้อมจวิ้นอี้ที่เดินตามหลังมาติดๆ ด้วยใบหน้าท่าทางตื่นตกใจกับสิ่งที่พวกเขาเห็น
ฮ่าวเทียนมองภาพตรงหน้าอย่างโกรธจัดก่อนเอ่ยอย่างกราดเกรี้ยวย่างก้าวเดินเข้ามาอย่างเอาเรื่อง
“เจ้าจะทำร้ายเสวี่ยเหมยเชียวหรือ? นางเป็นน้องสาวข้านะ!”
หมิงจูปรายตามองเขา ดวงตาฉายความเยือกเย็นไม่จางหาย แต่ก็ยอมปล่อยมือที่จับเสวี่ยเหมยออกทำให้ตัวประกันทรุดลงที่พื้นอย่างหมดแรงแต่เพราะความกลัวก็ต้องค่อย ๆ ไถลตัวไปหาที่กำบังเพื่อความปลอดภัยตนเองอย่างทุลักทุเล
หมิงจูมองภาพตรงหน้าอย่างพอใจก่อนเหลือบสายตาขึ้นมองสบฮ่าวเทียนต่อมา
“เฮ้อ เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้ากำลังทวงสิทธิ์ของข้าคืนอยู่ ส่วนเรื่องที่ข้าทำนั้นหากเจ้าคิดว่าการที่ข้าปกป้องทรัพย์สินของตนเองคือความบ้า ข้าก็ขอเป็นคนบ้าอย่างสมบูรณ์แบบเพื่อให้ได้ตามที่หวังก็แล้วกัน”
ฮ่าวเทียนมองมาที่หมิงจูอย่างไม่เชื่อสายตา เขามองฮูหยินตรงหน้าราวมองผู้อื่นที่เขาไม่รู้จักอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านพี่! ดูเถิด พี่สะใภ้ใหญ่บุกเข้ามาขโมยของไปหมดแล้วเจ้าค่ะ! ท่านพี่ช่วยให้ความเป็นธรรมแก่ท่านแม่และข้าด้วย ฮือ...”
เสวี่ยเหมยกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เน้นคำอย่างจงใจให้ดูเป็นเรื่องใหญ่และพวกตนถูกกลั่นแกล้ง
และเป็นจวิ้นอี้ที่ยืนอยู่ข้างฮ่าวเทียนรีบเสริมอย่างรู้เวลา
“พี่ใหญ่โมโหพี่ฮ่าวเทียนขนาดที่มาทำร้ายคนอื่นเลยหรือเจ้าคะ ถึงขนาดบุกมาที่เรือนเพื่อขโมยของแล้วยังทำร้ายร่างกายอีกด้วย!”
ฮ่าวเทียนขมวดคิ้วแน่น เสียงกล่าวโทษของสองสตรีเหมือนดั่งเชื้อเพลิงที่จุดประกายโทสะในอกเขา เขาเร่งก้าวไปหาหมิงจูด้วยดวงตาเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิม
เขายกมือขึ้นหมายจะฟาดลงที่ใบหน้าของนางตามแรงอารมณ์อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทว่าหมิงจูขยับตัวหลบอย่างว่องไว ก่อนที่มือของเขาจะสัมผัสแม้ชายชุดของนางด้วยซ้ำ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคนหมิงจูก็เหวี่ยงฝ่ามือกลับไปเต็มแรงยังใบหน้าบุรุษที่คิดจะกระทำกับนางก่อน
เสียงตบดังลั่นทำให้ทั่วทั้งบริเวณเงียบงัน ฮ่าวเทียนเซถอยหลัง ใบหน้าของเขาฉายแววไม่เชื่อสายตา มืออีกข้างกุมรอยแดงรูปฝ่ามือที่ข้างแก้มซ้าย
“เจ้ากล้าตบข้าหรือ?”
หมิงจูยืดตัวตรงไร้ความรู้สึกผิดแต่อย่างใด แววตาของนางเฉียบคมราวกับคมดาบ
“ใช่ ข้ากล้าที่จะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องตัวเอง”
น้ำเสียงของนางเยือกเย็นและหนักแน่นกว่าคราไหน ๆ ที่พูดกับเขา “ข้าเคยเป็นสตรีตามืดบอดที่มองไม่เห็นความจริงเพียงเพราะถูกความรักจอมปลอมบดบังสายตา ข้าเคยยอมทุกอย่างเพื่อบุรุษสวะ แต่บัดนี้ข้าหายจากความมืดบอดนั้นแล้ว การตบท่านครานี้ยังมิอาจลดทอนทุกสิ่งที่ข้าสูญเสียตลอดสองปีมานี้ได้เลยด้วยซ้ำ”
ฮ่าวเทียนยังคงอึ้งทั้งความรู้สึกชาที่หน้าและคำพูดของหมิงจู คำพูดเหล่านั้นทำให้ฮ่าวเทียนชะงักและค้นพบความจริงที่หมิงจูเอ่ยออกมาเริ่มกระตุ้นสติของเขาได้แล้ว เขานึกย้อนกลับไปถึงสินเดิมของนางจำนวนมากที่ทำให้ตระกูลซุนมีทุกวันนี้
แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เขาก็รู้ดีว่าเกียรติและฐานะในปัจจุบันนี้ มาจากสินเดิมที่หมิงจูนำมาสนับสนุนทั้งนั้น หากต้องสูญเสียนางไปมิใช่ว่าเขากำลังสูญเสียแหล่งผลิตเงินทองไปด้วยหรอกหรือ?
“อาจู เอาล่ะข้ารับรู้สิ่งที่เจ้ารู้สึกน้อยใจแล้ว วันนี้พอแค่นี้เถอะ ข้าจะลืมเรื่องหย่าเสีย ทำเหมือนว่ามันไม่เกิดขึ้นหากเจ้ายอมขอโทษข้าที่ทำให้ข้าเสียหน้าต่อหน้าสหายในวันนี้...”
ฮ่าวเทียนกล่าว น้ำเสียงที่เคยแข็งกร้าวเปลี่ยนเป็นอ่อนลง แต่ยังคงความเย่อหยิ่งในตัวไม่ต่างจากเดิมเลย
...เขาเชื่อว่าหมิงจูจะไม่มีวันยอมทิ้งเขาไป เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางรักเขาหมดหัวใจแล้วใคร ๆ ก็รู้ดี
หมิงจูหัวเราะเบาๆ ให้กับความเห็นแก่ตัวของบุรุษตรงหน้าก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันกลับไปอย่างไม่คิดไว้หน้าใครทั้งนั้น
“ข้าหรือต้องขอโทษใคร? ใครบอกว่าข้าจะกลับไปหาสามีสวะอย่างเจ้า!? ฝันไปเถอะ!”
คำพูดของนางดังชัดเจน “ข้ารู้สึกมีความสุขที่สุดในชีวิตนี้ที่เจ้ายอมลงนามหย่าครานี้ เพราะมันทำให้ข้าหลุดพ้นจากพันธนาการบ้าๆนี้เสียที นับจากนี้ ข้าจะไม่กลับมาที่จวนซุนอีก สิ่งเดียวที่ข้ามาที่นี่เพื่อเอาคืนสินเดิมของข้า เรื่องอื่นไม่ต้องมาคุยกับข้าอีกแล้ว!”
คำตอบนี้ทำให้ฮ่าวเทียนหน้าชา รอยยิ้มของหมิงจูในยามนี้เหมือนคมมีดที่กรีดลงบนเกียรติของเขา ทั้งที่เขาเป็นฝ่ายยอมให้นางมากแล้วด้วยซ้ำ
“หมิงจู...” เขาพยายามเอ่ยบางสิ่ง แต่กลับพูดไม่ออกเพราะความโมโหที่สุมอยู่กลางอกตอนนี้
หมิงจูมองเขาด้วยแววตาเย็นชาอย่างไม่สนใจความรู้สึกใครนอกจากนางเอง ก่อนจะหันไปสั่งเยว่ฮวา
“นำทุกอย่างกลับไปที่เรือนเถอะ ใครขวางเดี๋ยวข้าจัดการด้วยวิธีของข้าเอง”
ส่วนตัวหมิงจูนั้นไม่ได้รอให้ใครโต้เถียงกลับมา นางเดินตรงไปยังบ่าวที่ถือหีบบัญชีในมือ พลันคว้าหีบนั้นมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง นางเปิดหีบออกดูพบว่าภายในมีบัญชีร้านค้าและรายงานผลผลิตที่ดินของตนอยู่จริง แม้จะถูกจัดเก็บแบบลวกๆ แต่ก็เพียงพอที่จะยืนยันว่านี่คือทรัพย์สินของนางนอกจากกรรมสิทธิที่นางเก็บไว้อยู่แล้ว
เมื่อเห็นว่าฝ่ายแพ้คือฝ่ายของฮ่าวเทียนที่ยืนนิ่งเก็บกักอารมณ์และในสายตาของเขาเต็มไปด้วยความลังเลทำให้จวิ้นอี้ที่ตามมาด้วยก็ตัดสินใจรีบก้าวเข้ามาขวางหมิงจู สีหน้าของนางฉายแววร้อนรนเพราะหากของมีค่าพวกนี้ถูกหมิงจูเอาไปแล้วตระกูลซุนที่นางอยากแต่งเข้ามาจะเหลืออะไรเล่า!
...นางหลงรักฮ่าวเทียนก็จริงแต่จะดีกว่าหากเป็นฮ่าวเทียนที่ทั้งหล่อเหลาและร่ำรวยด้วย
“พี่ใหญ่ ท่านจะเสียมารยาทเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ! โอ๊ย!”
จวิ้นอี้เอื้อมมือมาคว้าหีบไว้ แต่แรงของนางไม่อาจต้านหมิงจูได้จึงกลายเป็นแรงดึงส่งผลให้นางกระเด็นล้มไปแทน จวิ้นอี้รีบทำหน้าเจ็บปวดเกินจริงทันทีอย่างใช้โอกาสนี้เพื่อเรียกความน่าสงสารและทำลายความลังเลของฮ่าวเทียนให้หายไป
“พี่ใหญ่! ข้าเจ็บนะเจ้าคะ”
เสียงร้องของจวิ้นอี้เรียกความสนใจของฮ่าวเทียนที่ยืนอยู่ใกล้ให้หลุดจากภวังค์ความคิดได้จริง เขารีบวิ่งมาประคองจวิ้นอี้ด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยโทสะยิ่งกว่าเดิม
“หมิงจู! เจ้าไม่เพียงบังอาจทำร้ายคนในจวนซุน ยังกล้าทำร้ายน้องสาวของเจ้าเองอีกหรือ?”
หมิงจูหัวเราะเบาๆ แต่เป็นเสียงหัวเราะที่เย็นชาเหมือนน้ำแข็ง มองการแสดงงิ้วของจวิ้นอี้อย่างเบื่อหน่าย
“จวิ้นอี้ ข้าเหนื่อยจะเล่นละครกับเจ้า ใครอยากเล่นอันใดก็เชิญเถอะข้าไม่ขอเสียเวลามากกว่านี้แล้ว”
จวิ้นอี้ทำหน้าตกใจกับพูดแสนตรงของพี่สาวที่นางรู้จัก สีหน้าของนางเปลี่ยนไปวูบหนึ่งก่อนจะรีบกลับมาปั้นสีหน้าเสียใจใหม่ แล้วหันไปมองฮ่าวเทียนแทนอย่างเรียกคะแนนสงสาร
“พี่ฮ่าว...”
“ข้าไม่ใช่หมิงจูคนเดิมที่ยอมทนรับคำด่าหรือการกระทำอันไร้ยางอายของพวกเจ้าอีกต่อไป ข้าเพียงมาทวงคืนสินเดิมของข้าเท่านั้น และถึงแม้ว่าสินเดิมที่ข้าทวงมาในวันนี้จะไม่ครบ แต่ข้าจะถือว่าที่เหลือคือการทำทานแก่พวกเจ้าก็แล้วกัน หวังว่านับจากนี้เราจะไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก!”
คำพูดของนางทำให้ฮ่าวเทียนนิ่งอึ้งไป ดวงตาของเขาสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด หมิงจูหันหลังให้ทุกคนในห้อง เดินออกไปโดยไม่สนใจใครแม้จะมีเสียงใครบางคนที่ต่อว่าตามมาก็ตาม
“เจ้ามันอกตัญญู! จวนซุนให้ที่อยู่ให้ข้าวเจ้ากิน เจ้ากล้าทำเช่นนี้กับพวกเรา? จำไว้เถอะว่าตระกูลไป๋ตัดขาดเจ้าแล้ว เจ้าจะไปไหนได้? หากเจ้าต้องการกลับมา ข้าก็ไม่ต้อนรับอีก!”
เมื่อพ้นจากจวนซุน หมิงจูยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ ดวงตาของนางจับจ้องไปยังท้องฟ้าที่มืดมิด แต่กลับรู้สึกว่าลมหายใจของตนนั้นปลอดโปร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“คุณหนู...” เยว่ฮวาที่เดินตามมากล่าวเสียงเบา “เราจะไปที่ใดต่อเจ้าคะ? จะกลับไปที่ตระกูลไป๋หรือเจ้าคะ?”
หมิงจูปรายตามองบ่าวคนสนิท นางยิ้มบาง แต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความมุ่งมั่น
“เราจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กันสองคน เยว่ฮวา ข้าจะสร้างทุกอย่างด้วยมือของข้าเอง โดยไม่กลับไปหาให้ใครช่วยทั้งนั้น”
