
สายลับเกิดใหม่กลายเป็นสตรีหย่าสามีไปเสียแล้ว
บทย่อ
ตัวอย่างเนื้อหา เมื่อบุรุษจากหอนางโลมออกจากห้องไป หมิงจูที่เกาะผนังไม้กั้นเพื่อพยุงตัวอยู่ก็รู้สึกร่างกายของนางอ่อนแรงจนทรุดลงทันที อวี่ที่สังเกตเห็นก็รีบเคลื่อนกายเข้ามาประคองร่างของนางอย่างรวดเร็ว “หมิงจู เจ้าเป็นอะไรไป?” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ผสมระหว่างความห่วงใยและความไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นตอนนี้ สัมผัสจากมือของเขาที่โอบกอดร่างของนางทำให้หมิงจูสะท้านขึ้นทันใด ความร้อนในร่างกายพุ่งพล่าน นางมองอวี่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและร้อนรุ่มยิ่งกว่าเดิม นัยน์ตาหวานหยาดเยิ้มมองสบกับอวี่อย่างชั่งใจ “ในเมื่อท่านเป็นคนไล่บุรุษผู้นั้นออกไปเอง...” หมิงจูเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทว่าแฝงความเด็ดเดี่ยว “...ท่านก็ต้องรับผิดชอบแทนเขา”
บทนำ
ณ ห้องรับรองกลางจวนตระกูลซุน เสียงหัวเราะเบิกบานดังสะท้อนผนังไม้แกะสลักลวดลายดอกไม้ท่ามกลางต้นไม้
ซุนฮ่าวเทียนผู้เป็นนายท่านของจวน นั่งเอนกายอยู่ที่ตำแหน่งประธานหัวโต๊ะอาหารยาว ท่าทางสบายอารมณ์พลางยกจอกสุราขึ้นจิบด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะหลังสนทนากับสหายเรื่องการงานเรียบร้อยแล้ว
ไป๋หมิงจู ฮูหยินเอกของเขาก้าวเข้ามาอย่างสง่างามในอาภรณ์ผ้าเนื้อละเอียดสีหยกอ่อน นางกวาดสายตาดูแลความเรียบร้อยของโต๊ะอาหารก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลดูสง่างาม
“ท่านพี่ ข้านำอาหารมาเพิ่มให้พวกท่านเจ้าค่ะ”
บ่าวในจวนรีบยกสำรับอาหารจานใหม่กลิ่นหอมโชยเข้ามาวางบนโต๊ะ เมื่ออาหารวางเรียบร้อยแล้วหมิงจูก็ขยับมานั่งข้างสามีอย่างสงบเสงี่ยม พลางรินสุราให้ฮ่าวเทียนจอกหนึ่ง
“อย่าดื่มมากนะเจ้าคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะปวดหัวเอา”
ฮ่าวเทียนรับจอกสุราด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่ได้ดูสนใจคำเตือนของฮูหยินมากนัก ภาพของหมิงจูที่ทั้งงดงามและนอบน้อม ทำให้เหล่าสหายของเขาถึงกับเอ่ยชมออกนอกหน้ากว่าผู้เป็นสามีทันใด
“ฮูหยินเจ้าช่างเป็นกุลสตรีที่งดงามและเชื่อฟังยิ่งนัก
ฮ่าวเทียน เจ้าช่างโชคดียิ่ง! ข้าอิจฉาเจ้าเสียจริง”
บุรุษผู้เป็นเจ้าของจวนหัวเราะเสียงดังก่อนกล่าวด้วยความภาคภูมิใจแต่แอบเก็บไว้ไม่แสดงออกมามากนัก
“หมิงจูเป็นฮูหยินของข้า พวกเจ้าได้แต่อิจฉาไปนั่นแหละ”
คำกล่าวนั้นเป็นการบอกว่าที่พวกสหายอยากได้ตอนนี้อยู่ในมือของตน ในแววตาของฮ่าวเทียนแฝงด้วยความถือดีอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ
ฝ่ายหมิงจูยิ้มบางส่งให้คนที่เอ่ยถึง นางวางมือจากจอกสุราหันไปปอกผลไม้ด้วยท่วงท่าสง่างาม ทำราวกับว่านางไม่ได้ถูกคนนำมาพูดถึงหยอกเล่นอย่างไรอย่างนั้น
“ฮูหยินอย่างหมิงจูนี่หาได้ยากจริงๆ” สหายของฮ่าวเทียนอีกคนเอ่ยเสริม “ช่างไม่เหมือนฮูหยินของข้าสักนิด นางที่จวนข้าดุราวพยัคฆ์ในร่างมนุษย์ ไม่เคยเอาใจข้าเหมือนฮูหยินของเจ้าเลย เฮ้อ...”
ฮ่าวเทียนยิ้มกว้าง ยิ่งเขาได้ยินคำพูดเหล่านี้ยิ่งภาคภูมิใจในตนเองขึ้นไปอีก เขาหันไปสั่งหมิงจูให้ไปยกสำรับของหวานเพิ่มเติมเพื่ออวดความขยันของนางอีกครา
หมิงจูโค้งตัวน้อยๆ ก่อนกล่าว “ข้าขออนุญาตไปดูแลอาหารเพิ่มสักครู่นะเจ้าคะ”
เมื่อร่างบางของหมิงจูลับสายตาออกไปจากห้อง บทสนทนาในวงก็เปลี่ยนไป กลายเป็นพูดถึงนางเสียอย่างนั้น
“เจ้าคิดเห็นเช่นข้าไหม ซุนฮ่าวเทียน ฮูหยินของเจ้าแม้งดงามเพียงนี้แต่บางทีก็ดูน่าเบื่อไปสักนิดอยู่นะ”
ฮ่าวเทียนหัวเราะเบาๆ “อืม นางดีทุกอย่างจริง ยกเว้นเรื่องเดียวคือขาดความสดใสและออดอ้อนเอาใจข้า...”
ก่อนที่คำสนทนาจะต่อไปมากกว่านี้ บ่าวบุรุษผู้หนึ่งเข้ามารายงานเสียงเบา “คุณหนูสามตระกูลไป๋ขอพบขอรับ”
ฮ่าวเทียนเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างฉงน “จวิ้นอี้หรือ? วันนี้นางมาหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน”
แม้จะสงสัยแต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าอนุญาต จวิ้นอี้เดินเข้ามาด้วยชุดสีชมพูอ่อน ตัดกับผิวขาวผ่องประดุจหยก นางทำความเคารพอย่างนอบน้อมก่อนมองสบสายตาของฮ่าวเทียนที่นั่งอยู่ด้วยสายตาออดอ้อนอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ
“คุณหนูสาม นั่งร่วมวงกับพวกเราสิ”
ฮ่าวเทียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางกวักมือเรียกอย่างเป็นกันเอง
จวิ้นอี้ลังเลเล็กน้อยสายตาสอดส่านมองรอบ ๆ อย่างคนหวั่นเกรง “แต่ที่นี่มีแขกของพี่เขยอยู่ ข้าเกรงว่าจะไม่เหมาะ...”
ฮ่าวเทียนยิ้มบางอย่างสบาย ๆ “ไม่มีสิ่งใดไม่เหมาะ ข้าคือคนตัดสินเท่านั้น”
คำกล่าวนั้นทำให้สหายในวงเหลือบมองอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่มีใครกล่าวขัดไปเพราะเริ่มชินกับเหตุการณ์นี้อยู่บ้าง ส่วนจวิ้นอี้นั้นแย้มยิ้มก่อนจะเดินไปนั่งลงข้างฮ่าวเทียนด้วยท่าทีอ่อนหวาน ทุกอิริยาบถของนางดูสดใสจนบรรยากาศเปลี่ยนไปจากที่เป็น
หลังจากนั้นไม่นาน หมิงจูก็เดินกลับเข้ามายังห้องรับรอง เสียงฝีเท้าของนางเบากริบ ทำให้ต้องได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เพียงพอให้ผู้คนในห้องหยุดบทสนทนาก็ตอนเข้ามาในห้องรับรองแล้ว ทุกสายตาจับจ้องไปที่หญิงสาวในอาภรณ์งดงามสีหยกอ่อนอย่างสนใจมองสีหน้า ในแววตาของนางแฝงด้วยความเยือกเย็นที่แทบไม่มีใครทันสังเกตแล้วเปลี่ยนเป็นแววตาเรียบนิ่งเช่นเดิม
หมิงจูชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าที่นั่งข้างฮ่าวเทียนถูกแทนที่โดยจวิ้นอี้ น้องสาวต่างมารดาของตน นางยิ้มบางก่อนกล่าวน้ำเสียงสุภาพ
“น้องสาม ช่วยขยับไปนั่งอีกที่หนึ่งหน่อยเถอะ นั่นที่ของข้า”
จวิ้นอี้ทำทีหน้าแดงเล็กน้อยก่อนตอบเสียงหวาน “พี่ใหญ่ ข้าไม่เจตนา เพียงแต่พี่เขยเชื้อเชิญ ข้าจะรีบย้าย...”
ก่อนที่จวิ้นอี้จะพูดต่อไปมากกว่านี้ ฮ่าวเทียนก็โบกมืออย่างไม่ใส่ใจก่อน
“อาจู เจ้าอย่าเรื่องมากเลย นั่งตรงไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น”
คำพูดนั้นราวค้อนที่ทุบใส่ศักดิ์ศรีของหมิงจูทันใด นางเงียบไปชั่วครู่แล้วก็ยิ้มมุมปากบางเบา แววตาของนางเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาพลันเอ่ยด้วยเสียงดังชัดกังวาน
“ท่านพี่ฮ่าว การที่ท่านอนุญาตให้น้องสามนั่งแทนข้าในตอนนี้ท่ามกลางสหายของท่านทั้งหลาย นับเป็นการไม่ให้เกียรติข้าผู้เป็นฮูหยินของท่านยิ่งนัก”
คำพูดนั้นดึงดูดความสนใจจากทุกคนในวงสนทนา
ฮ่าวเทียนเลิกคิ้ว สีหน้าฉายแววหงุดหงิดออกมาทันใด
“เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
หมิงจูยิ้มเย็น ก่อนตอบเสียงเรียบ “น้องสาม เจ้ายังมิได้เป็นภรรยาหรือแม้แต่อนุ การที่เจ้าทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ดูหมิ่นข้าผู้เป็นฮูหยินเอกเท่านั้น ยังเป็นการทำลายหน้าตระกูลไป๋ซึ่งเป็นที่เคารพในเมืองนี้อีกด้วย เจ้าไม่คิดถึงจุดนี้บ้างเลยหรือ?”
บรรยากาศเงียบงันลงในชั่วพริบตา ก่อนที่เสียงหัวเราะของฮ่าวเทียนจะดังขึ้นเป็นการตอบโต้
“อาจู ช่างพูดนัก! เรื่องเพียงเท่านี้จะถึงกับเสียหน้าได้อย่างไร? เจ้าคงคิดมากเกินไปแล้ว หากไม่มีเรื่องอันใดสำคัญจะพูดก็ไม่ต้องพูดให้เสียบรรยากาศหรอก เจ้ากลับไปจัดการงานในจวนต่อเถอะ”
สหายในวงต่างเฮฮาทันทีที่ฮ่าวเทียนพูดจบ อีกทั้งยังเอ่ยยกยออีกด้วย “วางอำนาจจัดการภรรยาได้เด็ดขาดน่าทำตามยิ่งนัก ฮะฮ่า”
ท่ามกลางความรื่นเริงคราวนี้มีสิ่งหนึ่งที่แปลกใจ พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นรอยยิ้มที่ปรากฏบนริมฝีปากของหมิงจูเลยสักคน รอยยิ้มคราวนี้ไม่ใช่รอยยิ้มของผู้ที่กำลังพ่ายแพ้ หากเป็นรอยยิ้มแห่งผู้กำชัยต่างหาก
หมิงจูเดินก้าวไปยืนตรงหน้าโต๊ะเพื่อให้ทุกคนหันมาสนใจก่อนเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น
“ในเมื่อท่านพี่เห็นว่าข้าที่เป็นฮูหยินของจวนไม่สมควรนั่งในที่แห่งนี้ ข้าก็ขอให้ท่านแสดงความชัดเจนเสียตอนนี้ เยว่ฮวา! ไปนำกระดาษและพู่กันมา ข้าจะขอให้ท่านลงนามในใบหย่าให้ข้าเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
ฮ่าวเทียนที่กำลังหัวเราะกับสหายหยุดชะงักทันที สีหน้าแสดงถึงความตกใจ แต่พอได้นิ่งคิดชั่วครู่ก็แย้มยิ้มในทันควัน
...นางคงทำเรื่องใหญ่โตเพื่อให้เขาง้อนาง ซึ่งเขาก็เพียงแค่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปสักหน่อยเดี๋ยวนางก็หายเคืองเอง เพียงแต่วิธีการเรียกความสนใจของนางครานี้ออกจะยิ่งใหญ่ไปหน่อยก็เท่านั้น
“เจ้าหยุดล้อเล่นได้แล้ว เรื่องเพียงเท่านี้ถึงกับต้องหย่ากันเลยหรือ? ฮะฮ่า”
หมิงจูหรี่ตาลงแววตาของนางเต็มไปด้วยความเด็ดขาด หาได้ดูล้อเล่นเลยสักนิด
“ข้ามิได้ล้อเล่น ท่านพี่ไม่เพียงแต่ไม่ให้เกียรติข้า ทั้งยังตั้งใจทำลายเกียรติของข้าต่อหน้าผู้อื่น ข้าผู้เป็นฮูหยินเอกไม่อาจอยู่ในจวนนี้อีกต่อไปแล้ว หากท่านเห็นว่าน้องสามดีกว่า ข้าก็ขอปล่อยมือเสียแต่วันนี้เจ้าค่ะ”
คำพูดนั้นทำให้ทุกคนในห้องเงียบกริบอีกครา ไม่นานนักเยว่ฮวาก็นำกระดาษและพู่กันเข้ามาตามคำสั่งของเจ้านายตน หมิงจูลงมือเขียนหนังสือขอหย่าอย่างไม่มีแม้เศษเสี้ยวของความลังเล เมื่อเขียนเสร็จก็ส่งวางไว้บนโต๊ะรออีกฝ่ายลงนาม
ฮ่าวเทียนแม้จะรู้สึกสะท้านในใจที่อยู่ๆ สตรีที่เชื่อฟังก็เป็นฝ่ายออกปากยื่นใบหย่าเสียอย่างนั้น ทว่าเมื่อเขาเห็นสายตาของสหายที่มองมาอย่างรอคอยการตัดสินใจ เขาก็เลือกที่จะรักษาศักดิ์ศรีเอาไว้ ในฐานะที่เขาคือคนที่เหล่าสหายยกย่องในเรื่องนี้ตลอดมา
“ก็ดี! ในเมื่อเจ้าต้องการเช่นนั้น ข้าจะลงนามให้แล้วก็อย่าได้มาร้องขอภายหลังเล่า!”
ฮ่าวเทียนคว้าพู่กันมาจรดลงบนกระดาษ ใบหย่าที่ควรจะเป็นเพียงการข่มขู่กลับกลายเป็นความจริงในพริบตา เมื่อหมิงจูรับใบหย่ามา นางยิ้มบาง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบอย่างสบายไร้ซึ่งความเสียใจอย่างที่ควร
“ขอบคุณท่านฮ่าวหยวนที่ทำให้ข้าเป็นอิสระ ข้าจะถือว่านี่เป็นบุญคุณครั้งใหญ่ จากนี้ก็หมดซึ่งความเกี่ยวพันกันนับแต่นี้!”
หมิงจูโค้งตัวเล็กน้อยแล้วก็หันหลังเดินออกจากห้องไปทันที บรรยากาศในห้องรับรองเงียบงันลงทันใด ใบหน้าตกตะลึงปรากฏบนหน้าของทุกคนที่มองตามอยู่เบื้องหลัง...
จวิ้นอี้ที่นั่งอยู่ข้างฮ่าวเทียน ลอบยิ้มบางภายในใจ ความลิงโลดที่ก่อตัวขึ้นจากความสำเร็จครั้งใหญ่ถูกเก็บไว้เบื้องลึกเบื้องหลัง นางแสร้งทำสีหน้ากังวล ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานหยดย้อยอย่างรู้เวลา
“พี่เขย...ข้าคิดว่าพี่ใหญ่ นางคงโกรธมากนักนะเจ้าคะ ท่านไม่รีบไปง้อนางหรือเจ้าคะ พี่ใหญ่นางคงรออยู่เป็นแน่เจ้าค่ะ”
ฮ่าวเทียนตวัดสายตาไปมองคนพูดทันที แววตาฉายแววขุ่นเคืองเต็มก่อนโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
“อาจูน่ะหรือ? เหอะ! นางจะโกรธได้นานสักเท่าไรกัน? อีกไม่ถึงหนึ่งเค่อ นางคงกลับมาขอโทษข้าเอง...”
สหายรอบวงหัวเราะร่วนอย่างเห็นด้วย วงสนทนากลับมาสนุกสนานอีกคราพร้อมเรื่องใหม่ที่น่าสนใจกว่า
“นั่นสิ! ฮูหยินเจ้าหรือจะกล้าหย่ากับเจ้า นางคงกลับมาร้องไห้ขอโทษเจ้าในไม่ช้าแน่ เมื่อนางกลับมาเจ้าก็อย่าได้ใจร้ายต่อนางนักเล่าข้าเห็นใบหน้างดงามเศร้าหมองแล้วปวดใจแทน”
“เดิมพันกันว่าฮูหยินของเจ้าจะกลับมาภายในกี่เค่อ?” สหายอีกคนกล่าวพลางยิ้มกริ่มแววตาท้าทาย
ฮ่าวเทียนหัวเราะเสียงดังก่อนตอบอย่างมั่นใจ “ข้าบอกได้เลย ไม่ถึงหนึ่งเค่อแน่!”
เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าใดความเงียบก็เริ่มกัดกินบรรยากาศในวงสนทนามากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งบ่าวคนหนึ่งเข้ามารายงานด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
“นายท่านขอรับ ฮูหยินใหญ่นางกลับไปที่เรือนของนางแล้วขอรับ ดูเหมือนกำลังเก็บข้าวของอยู่...”
คำพูดนั้นทำให้เสียงหัวเราะของเหล่าสหายหยุดชะงัก และฮ่าวเทียนหน้าตึงทันใด ดวงตาแฝงความไม่พอใจอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“หึ ครานี้นางกล้ามากกว่าที่ข้าคิดจริง!”
เขาคำรามก่อนหันไปหาสหาย บนใบหน้ายังคงมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าสิ่งที่เขาคิดไม่ผิดแน่
“ครานี้นางคงใช้กลยุทธ์ถอยเพื่อรุกอีกกระมัง อย่าได้สนใจเลย มาสหาย! เราดื่มกันต่อเถิด”
แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่ภายในใจของฮ่าวเทียนกลับปั่นป่วนไม่เป็นสุข ความไม่มั่นคงค่อยๆ กัดกร่อนแต่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะกำแพงทิฐิของเขาได้อยู่ดี...
