บท
ตั้งค่า

4 ไม่ใส่ใจ แต่ใส่ใจ

รุ่งนภาเคี้ยวอาหารในปากอย่างเชื่องช้า พลางขบคิดไปถึงบทสนทนาเมื่อช่วงกลางวันกับกลุ่มเพื่อนสาว

ที่มักจะนัดกันออกไปเจอในเวลาสายๆ ของวันเสาร์อยู่เสมอ

วันนี้จักรพันธ์ไม่ได้ออกไปไหน เขานั่งเคลียร์งานอยู่ในห้องทำงาน จวบจนเธอกลับถึงบ้าน จึงได้ให้แม่บ้านตั้งโต๊ะอาหาร

“ไม่ค่อยอร่อยเหรอ” เสียงเรียบขรึมเปรยขึ้น ในขณะที่กำลังตักผัดผักรวมใส่จานตัวเอง

แม้สายตาจะไม่ได้เหลือบแลมายังเธอ แต่น้ำเสียงแสดงออกในความห่วงใยชัด

นี่ไง เหมือนไม่ใส่ใจแต่ใส่ใจอย่างที่เธอว่า...

“เปล่าค่ะ” เธอตอบทันควันเชิงตกใจ รีบตักอาหารที่เขี่ยอยู่เข้าปากไปอย่างเร็วรี่ จนเกิดอาการสำลักทันที

“ระวัง” และน้ำเสียงดุพร้อมกับยื่นแก้วน้ำส่งให้...ราวกับจ้องมองเธอกิริยาของเธออยู่ตลอด ก็ตามมาอย่างทันทีด้วยเช่นกัน

“ขอบคุณค่ะ” ...เธอกล่าวขึ้น หลังจากยกแก้วน้ำดื่มที่เขายื่นให้กระดกลงคอไปอย่างรีบร้อนไม่ต่าง

ใบหน้าใสของเธอมีความแดงเห่อขึ้นเล็กน้อย จากการสำลักอาหารกะทันหันก็ส่วนหนึ่ง

จากกิริยาห่วงใยชัดของเขานี่ด้วยรึเปล่า เธอเองก็ไม่แน่ใจ

“มีอะไรให้ต้องคิดเหรอ” เขาว่าพร้อมตักไข่พะโล้ของโปรดเธอวางลงบนจานให้

รุ่งนภามองตามมือแกร่งที่มองเห็นเส้นเลือดปูดชัดของเขาอย่างคนออกกำลังกายสม่ำเสมอ ที่ค่อยๆ ตักอาหารให้เธออย่างใส่ใจด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง

ต่อให้ใครจะพูดว่าเธอบุญมีแต่กรรมบังอย่างไร แต่เธอก็แสนภูมิใจที่ได้อยู่ตรงนี้ แม้จะในสภานะภรรยาบังหน้าของเขาก็ตาม

“ห้ามพูดนะว่าเปล่า” เขาดักอย่างรู้ทัน และเริ่มขยับความห่างเหินเข้ามาในชีวิตส่วนตัวเธอแล้ว ทีละนิด

รุ่งนภาพยายามคิดว่าตัวเองคิดมากไป แต่ตอนนี้เธอเริ่มเห็นแล้ว ว่าเธอไม่ได้คิดไปเองฝ่ายเดียวหรอก

“ทานพะโล้ซะหน่อย มีคนบอกว่า ถ้าคนเราได้ทานของโปรดอาจจะช่วยให้คิดออกง่าย” ประโยคนี้ของจักรพันธ์เหมือนมีรอยยิ้มเจือมาด้วย

มันเหมือนเขากำลังขยับเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว แต่ก็ยังไม่ยอมถือสิทธิในการก้าวก่าย เห็นชัดว่าอยากรู้...แต่ไม่อยากรุกล้ำ

“ขอบคุณนะคะ” เธอไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาตอบแทนกิริยาอบอุ่นอ่อนโยนนี้ได้นอกจากคำคำนี้

ขอบคุณที่เขาจดจำได้ว่าเธอชอบทานอะไร ทั้งๆ ที่เธอบอกเขาไปเพียงครั้งเดียว ว่าทุกๆ วันเธอจะต้องรับประทานไข่พะโล้ วันหนึ่งสักมื้อก็ยังดี

“ลองนี่หน่อย อร่อยไม่แพ้พะโล้หรอก” และบรรยากาศตึงๆ ก็ค่อยๆ คลายลง เมื่อจักรพันธ์ตักเมนูโปรดของเขาให้เธอบ้าง

แกงจืดหมูสับใส่ผักกาดขาวหั่นพอดีคำ ไม่ใส่ฟัก แต่มีหัวไชเท้าและแครอทที่ตุ๋นจนเปื่อย

“คะ?” รุ่งนภาใจเต้นแรงขึ้น เมื่อเห็นช้อนตักน้ำซุปสีขาวมายื่นอยู่ตรงหน้า น้ำซุปใสที่มีควันหอมกรุ่นโชยขึ้น

มีหมูสับก้อนพอดีคำวางอยู่คู่ผักกาดขาวที่ต้มจนเปื่อยแบบพอดี

“ลองชิมดู ทานของคล่องคอหน่อย สมองจะโล่งมาก” คำเชิญชวนของเขามาพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่นปลอดภัย

แววตาลุ่มลึกที่มีประกายเสน่ห์อยู่เป็นนิจ ฉายไปด้วยความอ้อนเล็กน้อย แบบที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน

“หรือว่ากลัวร้อน...” ในขณะที่เธอนิ่งอึ้ง หัวตื้อมากกว่าเดิม เขาก็ค่อยๆ จรดริมฝีปากลงมาเป่าแกงจืดในช้อนน้ำซุปนั้นอย่างแผ่วเบา

หากแต่ใจของคนมองสิ...เต้นเร่า จนเลือดสูบฉีดไปทั่วหน้า

“ไม่ร้อนแล้ว ผมเป่าให้ละ” รุ่งนภาเหมือนตัวเองไม่มีชีวิตไปชั่วขณะ รับเอาแกงจืดอุ่นๆ ที่เขาเป่าให้ เข้าปากไปอย่างไม่เกี่ยงงอน

เธอไม่รู้หรอกว่ารสชาติแกงจืดเป็นยังไง แต่รับรู้ได้ว่าลมหายใจของเขาที่เป่ารดผ่านแกงจืดมานั้น

คงจะอุ่นมาก...อุ่นซาบซ่านจนเหมือนแทรกซึมเข้าไปทั้งอณูร่างของเธอแล้วในตอนนี้

“เป็นไง อร่อยใช่ไหม” จักรพันธ์คลี่ยิ้มกว้างให้เธอ พร้อมตักน้ำซุปในช้อนเดียวกันนั้นมาตักรับประทานบ้าง จนเธอเบิกดวงตากว้างขึ้นเล็กน้อย

ใครจะไปคิดล่ะ...ว่าเขาจะไม่รังเกียจเธอเลย

“เวลาผมคิดงานไม่ออก ก็ได้น้ำซุปนี่แหละช่วยไว้” เขาเล่าให้เธอฟังเองแบบสบายๆ และตักไข่ต้มเนื้อขาวเนียนสวยมาวางไว้บนจานของตัวเอง

พร้อมตั้งใจรับประทานต่อ

“วันนี้เคลียร์งานทั้งวัน เหนื่อยไหมคะ?” เธอถามอย่างนึกขึ้นมาได้ ว่าวันนี้ตัวเองไม่ได้แสดงความห่วงใยอะไรเขาเลย

“พอตัวอยู่ ยังไม่เสร็จเลย” เขาตอบเธอไปด้วย มองอาหารในจานไปด้วย ดูผ่อนคลายและเป็นกันเองมากกว่าทุกวัน

“เมื่อยไหมคะ ให้เรียกหมอนวดให้ไหม” เธอถามอย่างเอาใจใส่ จริงๆ เธอหาจังหวะนี้มานานแล้ว เธออยากจะเสนอให้เขานำหมอนวดผู้ชายมานวดให้เขา

เพื่อให้ชายรักชายอย่างเขาได้กระชุ่มกระชวย เพราะกลัวว่าเขาจะไม่กล้าไปทำอะไรแบบนี้ด้วยตัวเอง

แต่ถ้าศรีภรรยาอย่างเธอเป็นคนเสนอให้ ใครก็คงจะมาครหาเขาไม่ได้

“เวลาเมื่อย คุณชอบไปนวดเหรอ?” แต่แทนที่ฝ่ายนั้นจะตอบรับหรืออะไร กลับถามเธอกลับเองเสียแทน

“ก็มีบ้างนะคะ แต่ไม่บ่อยหรอกค่ะ ประหยัดเงิน...” ท้ายประโยคเธอทำเป็นพูดเสียงเบาเชิงกระซิบและหัวเราะตบท้าย

จนเขาต้องยิ้มตามและส่ายหน้าออกมา

“แล้วคิดยังไง ถึงอยากจะเรียกหมอนวดให้ผม”

“ก็คิดว่าอยากจะให้คุณผ่อนคลายบ้างไงคะ เห็นทำงานหนักทุกวัน ทีแรกฉันเคยเชื่อนะว่าคนรวยๆ เขาคงจะสบาย

ไม่ต้องตรากตรำทำงานงกๆ ทุกวัน แต่ที่ไหนได้...คุณเป็นคนรวย ที่ทำงานหนักกว่าคนจนๆ อย่างฉันซะอีก”

เมื่อบรรยากาศผ่อนคลายจากเขาได้พาไป ความเป็นตัวของตัวเองของแม่สาวช่างพูดก็ได้เผยออกมา

กว่าเจ้าตัวจะรู้ตัวว่าตัวเองพูดเยอะไป...ก็ได้พูดไปจนจบประโยคเสียแล้ว

“แหะ...ขอโทษค่ะ”

“ขอโทษเรื่อง?” คนฟังเพลินถามขึ้นทันควัน รู้สึกอารมณ์ดีที่เธอเผยความเป็นตัวเองออกมามากขึ้น แม้จะแบบค่อยๆ ก็ตาม

“ก็...เรื่องที่ ฉันพูดเยอะไปไงคะ” เธอว่าอย่างรู้สึกเขินอาย ก้มหน้ามองจานข้าวที่พร่องลงไปเหลือข้าวแค่เล็กน้อย พอเอาไว้ให้ได้เขี่ยแก้เขิน

“เยอะตรงไหน พูดน้อยซะเหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วงขนาดนี้” คำแซวของเขาทำเอาเธอเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที

มีมุมนี้ด้วยเหรอนี่?

“คุณชอบให้ฉัน พูดมากเหรอคะ?”

“บอกไม่ได้หรอก ต้องลองพูดมากให้ดูก่อน” รุ่งนภากลืนน้ำลายลงคอให้กับคำพูดและแววตาที่ดูเจ้าเล่ห์และเปล่งแสงสว่างของเขา

เพราะใจดวงน้อยมันเต้นเร่าๆ ให้กับทุกอย่างที่เขาทำอยู่ตอนนี้

“เติมข้าวให้หน่อย วันนี้ท่าจะเจริญอาหาร ยังไม่อิ่มเลย” ได้ยินอย่างนั้น รุ่งนภาก็รีบกุลีกุจอตักข้าวเพิ่มให้เขา

แม้จะตกใจเพราะเขาไม่เคยขอมาก่อน แต่ก็ยอมทำแบบไม่มีข้อแม้ใด

ก็ชีวิตเบ๊อย่างเธอ มันตามใจครับผม ได้ผมครับท่านมาเสมอนี่นา จะไปมีข้อแม้อะไรได้ยังไง!
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel