3.แผนร้าย (ต่อ)
*** ทักทายคร้า ***
ความมืดปกคลุมไปทั่วพื้นป่าแถมมีเมฆฝนดำทะมึนอย่างน่ากลัว ขิมทรายวิ่งเข้าไปในป่าอย่างรีบเร่ง ในใจภาวนาของให้พ่อกับแม่ช่วยคุ้มครองเธอด้วย เสียงร้องและเสียงตะโกนของพวกมันไล่หลังมา ร่างบอบบางวิ่งไปตามทางแคบๆ เนื้อนวลขูดไปกับหนามและกิ่งไม้เลือดซึมออกมาเป็นทางยาว แต่ความเจ็บก็ยังน้อยกว่าความหวาดกลัวที่เกาะกุมในใจ พอวิ่งมาถึงทางแยกขิมทรายยืนหันรีหันขวางอยู่ชั่วครู่ไม่รู้จะวิ่งไปทางไหน พอจวนตัวร่างบอบบางก็วิ่งไปหลบหลังพุ่มไม้ใหญ่
“มันหายไปไหนวะ เมื่อกี้ยังเห็นหลังไวๆ อยู่เลย” ลูกน้องนายทรงชัยหยุดยืนหน้าพุ่มไม้นั้น ขิมทรายตัวแข็งทื่อใจเต้นระรัว มือบางยกขึ้นปิดกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้
“มันต้องอยู่แถวๆ นี้ล่ะ ช่วยกันหาเร็วเข้า” พวกมันต่างแยกย้ายกันหา สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมา หญิงสาวยกมือกอดรอบตัวเองหนาวจนตัวสั่น ดวงตาหวาดหวั่นมองหาทางเอาตัวรอด เพราะถ้าเธอนั่งรออยู่แบบนี้ มีหวังมันจับได้แน่ๆ ฝนเริ่มตกกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ขิมทรายเห็นพวกมันหันหลังให้จึงค่อยๆ คลานออกจากที่ซ่อนช้าๆ
2
รถฟอร์จูนเนอร์สีดำคันใหญ่ติดสติกเกอร์ไร่ปลายตะวัน วิ่งฝ่าสายฝนที่กำลังตกลงมาอย่างหนัก มุ่งหน้าไปตามถนนหลวงไกลตัวเมือง ฟ้าเบื้องหน้ามืดสนิทมีเพียงแสงไฟหน้ารถ ที่ส่องสว่างนำทางไปตามถนน สายฝนตกลงมากระทบกับที่ปัดน้ำฝนหน้ากระจกแตกกระจายเป็นเม็ดเล็กๆ แสงสว่างวาบของสายอสุนีบาตที่ฟาดลงมาพร้อมกับเสียงฟ้าร้องดังสนั่น
ร่างสูงใหญ่ของเจ้าปลายตะวัน ทิฆัมพร เจ้าของไร่ปลายตะวัน ขยับตัวเพื่อคลายความเหนื่อยล้า มือใหญ่บังคับพวงมาลัยอย่างระมัดระวัง วันนี้ถ้าไม่มีเรื่องที่ไร่เขาคงไม่ได้ขับรถฝ่าสายฝนออกมาจากคุ้มกลางดึกแบบนี้ ดวงตาคมกริบมองความมืดมิดของสองข้างทาง แสงไฟหน้ารถส่องสว่างตัดกับสายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย
“ฟู่” ปลายตะวันเป่าลมออกจากปากแรงๆ สายตาเหลือบตามองนาฬิกา ที่อยู่หน้ารถบอกเวลาเกือบหกทุ่ม ปลายมือเรียวเอื้อมไปเปิดเพลง เพื่อไม่ให้ในรถเงียบจนเกินไป
“เฮ้ย!” ชายหนุ่มอุทานดังๆ เมื่อแสงไฟสาดไปกระทบกับร่างบอบบาง ที่กำลังวิ่งหนีกลุ่มคนสามสี่คน ที่วิ่งไล่หลังมาติดๆ
เอี๊ยดดดด เสียงล้อรถเบียดกับถนนดังลั่น เมื่อร่างของหญิงสาววิ่งตัดหน้ารถอย่างกะทันหัน ตามด้วยเสียงร้องอย่างตกใจก่อนจะล้มไปกองอยู่กับพื้นถนน ปลายตะวันเปิดลิ้นชักหน้ารถหยิบปืนที่พกติดตัวเป็นประจำออกมาแล้วเปิดประตูลงจากรถ เพื่อไปดูอาการของหญิงสาว
“คุณๆ ๆ เป็นยังไงบ้าง” ปลายตะวันเขย่าร่างบอบบางเบาๆ สายตามองหาบาดแผลตามร่างกาย ชายหนุ่มหันกลับมามองดวงหน้าใบหน้าซีดเผือดของคนในอ้อมแขน ผมและเสื้อผ้าเปียกชื้นแนบลำตัวจนเห็นสัดส่วนของเจ้าของชัดเจน
“เฮ้ย เธออยู่นั่น” หนึ่งในสี่คนที่วิ่งตามมาตะโกนบอกแล้ววิ่งเข้ามาใกล้ ดวงตาคมเข้มมองไปยังกลุ่มชายฉกรรจ์สี่คนที่วิ่งเข้ามาอย่างไม่เป็นมิตร ในวินาทีนั้นปลายตะวันจึงตัดสินใจอุ้มร่างบอบบางขึ้นบนรถทันที ก่อนที่พวกมันจะมาถึงตัว
“หยุดนะ!” พวกมันส่งเสียงตะโกนมา และเร่งความเร็วขึ้นเกือบจะถึงรถ หากปลายตะวันไม่สนใจรีบขึ้นรถขับออกไปทันที พวกมันทั้งสี่วิ่งตามหลังรถพร้อมสาดกระสุน เข้าใส่เสียงดังแข่งกับเสียงฝน
เปรี้ยงๆ ๆ ๆ
ปลายตะวันรีบเร่งความเร็วขึ้น เพื่อที่จะไปถึงไร่ให้เร็วที่สุด สายตาคมชำเลืองมองร่างบอบบางที่นอนคอพับอยู่เบาะตรงข้ามคนขับ ริมฝีปากซีดสั่นด้วยความเย็น
“ไปหาหมอที่ไหนวะดึกป่านนี้แล้ว โทรให้หมอการันต์ไปที่ไร่ดีกว่า” ว่าแล้วมือใหญ่กดเบอร์โทรหานายแพทย์การันต์ ญาติผู้น้องที่เป็นเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังในเมืองไทย
“หนาว...คุณย่าขาช่วยขิมด้วย” หญิงสาวละเมอออกมาเสียงแผ่วเบา ลำแขนโอบรอบตัวเพื่อบรรเทาความหนาวเหน็บ ดวงตาหลับพริ้ม ขนตางอนงามเปียกชื้น ปลายตะวันเลี้ยวรถจอดข้างทาง แล้วหยิบเสื้อแจ็กเก็ตตัวใหญ่ที่อยู่เบาะหลังมาห่มให้ อาการหนาวสั่นจึงค่อยเบาลง
พอขับรถออกมาได้สักพัก ก็เข้าเขตไร่ปลายตะวัน ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกมาแรงๆ อย่างผ่อนคลาย ฝนเริ่มชาลงหลังจากที่ตกหนักมาเกือบชั่วโมง ปัญหาต่อไปก็คือจะทำยังไงกับสาวน้อยคนนี้ดี ดูจากรูปการณ์แล้ว คงไม่มีอะไรติดตัวมาสักอย่าง
***
