บท
ตั้งค่า

บทที่4 ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิด

สีหน้าของหลี่เหวินหลางทำให้ซูเพ่ยเพ่ยต้องมองสำรวจรอบๆ ถ้ำอีกครั้ง นอกจากบริเวณที่นางนอนอยู่ก็มีอีกด้านของกองไฟซึ่งพื้นบริเวณนั้นเต็มไปด้วยหินตะปุ่มตะป่ำเต็มไปหมด หากนอนตรงนั้นก็คงจะไม่สบายตัวเท่าใดนัก ส่วนพื้นดินที่พอจะนอนได้ก็อยู่ไกลจากกองไฟมากจนเกินไป นางไม่แน่ใจว่าถ้าแห่งนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อาศัยอยู่ด้วยหรือไม่ หากเป็นแค่แมลงตัวเล็กๆ ก็คงจะไม่เป็นอันใดแต่หากเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อย่างเช่นงูหรือสิ่งมีชีวิตที่มีพิษอื่นๆ เขาอาจจะได้รับอันตรายก็เป็นได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นนางก็คงจะรู้สึกผิดต่อเขาเป็นอย่างมาก นางจึงได้ค่อยๆ ขยับตัวเว้นพื้นที่ให้เขาแล้วเอ่ยกับเขาเสียงเบา

“ท่านนอนตรงนี้เถอะ ข้าเชื่อว่าคนอย่างท่านคงไม่คิดจะฉวยโอกาสเอาเปรียบข้าแน่ อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ก็อย่าได้เคร่งครัดธรรมเนียมมากจนเกินไปเลย” นางเอ่ยออกมาเสียงเบาแม้ว่าในใจจะคิดเอาไว้แล้วว่าถ้าเขาคิดเอาเปรียบนางจริงก็คงจะลงมือทำไปนานแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะใช้คำพูดป้องกันตนเองเอาไว้ก่อน อยู่ๆ ไปชวนเขามานอนด้วยเช่นนี้หากเขาเกิดมีความคิดไม่ดีขึ้นมาก็ยากที่จะกล่าวโทษเขาได้

“ไม่เป็นไรเจ้านอนไปเถอะ ไม่ว่าอย่างไรชายหญิงก็ไม่ควรจะใกล้ชิดกันมากจนเกินไป” เขาเอ่ยพลางเดินไปนั่งลงบนพื้นอีกฝั่งของกองไฟ พื้นบริเวณนั้นมีพื้นเรียบเพียงพอให้นั่งได้พอดี ขยับเอาตะกร้าไม้ไผ่ของตนมากั้นระหว่างผนังถ้ำและตัวของเขาเอาไว้แล้วจึงได้หลับตาลงเพื่อพักผ่อน

เห็นเขาทำเช่นนั้นซูเพ่ยเพ่ยก็ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาอีก นางสำรวจบริเวณพื้นที่ตนเองนอนอีกครั้งอย่างละเอียดเมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีสิ่งใดที่เป็นอันตรายต่อตนเองจึงได้หลับตาลงเพื่อนอนพักผ่อนอีกครั้ง เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าในยามนี้ตนเองกำลังนอนกอดก่ายผู้ชายคนหนึ่งเขาไว้

ซูเพ่ยเพ่ยกะพริบตาอีกครั้งเพื่อเรียกสติที่ยังสะลึมสะลือให้ตื่นเต็มที่ ยามนี้ใบหน้าซีกหนึ่งของนางวางอยู่บนอ้อมอกอันแข็งแรงและหนั่นแน่น ถ้าไม่ใช่เพราะนางสามารถจดจำเครื่องแต่งกายของหลี่เหวินหลางได้นางเองก็คงจะตกใจเพราะในความทรงจำของนางหลี่เหวินหลางคือชายหนุ่มที่ผอมเพรียวมากคนหนึ่ง แต่ตอนนี้นางรับรู้อย่างแท้จริงแล้วว่าเขาไม่ได้ผอมบางอย่างที่เห็นสักนิด

เมื่อเหลือบตาลงไปด้านล่างใบหน้าของนางก็แดงก่ำขึ้นมา ท่อนขาอันแข็งแกร่งของเขายามนี้ถูกเรียวขาข้างหนึ่งของนางทับเดาไว้ นางจึงเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าของเขา ยามนี้ขนตาอันงอนยาวและดกดำของเขายังคงหลับอยู่แต่ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ตัวแล้วว่าตนเองกำลังถูกนางจ้องมองอยู่ เขาจึงได้หรี่ตาและมองนางด้วยสายตาที่ดูเป็นอันตรายเป็นอย่างมาก

“ไหนท่านบอกว่าชายหญิงไม่ควรจะใกล้ชิดกันอย่างไรเล่า แล้วเหตุใดท่านจึงได้ลักลอบเอาเปรียบข้าในตอนที่ข้าหลับเช่นนี้กันเล่า” ซูเพ่ยเพ่ยกระแอมพลางเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกล่าวหา

“ข้าก็แค่ทนความหนาวเย็นไม่ไหวเลยมานอนตรงนี้ ส่วนเรื่องเอาเปรียบนั้นเจ้าดูให้ดีว่าตอนนี้ใครกันแน่ที่ถูกเอาเปรียบ” คำพูดของเขาทำให้ใบหน้าของนางเห่อร้อนมากยิ่งขึ้นเพราะความขัดเขิน นางเป็นฝ่ายพลิกตัวมานอนกอดเขาเองส่วนตัวของเขานั้นกลับนอนนิ่งให้นางกอดก่าย มือไม้ของเขายังคงวางอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมไม่ได้ล่วงเกินนางเลยแม้แต่น้อย ยามนี้จึงมีเพียงนางที่กำลังล่วงเกินเขาอยู่

“ศีรษะด้านหลังของข้ามีอาการบาดเจ็บจึงไม่เหมาะที่จะนอนหงาย แล้วอีกอย่างตรงไหนอุ่นข้าก็ย่อมต้องขยับไปตรงนั้นตามสัญชาตญาณ” นางเอ่ยพลางพลิกกายเปลี่ยนจากท่านอนตะแคงกอดก่ายเขาเป็นนอนหงาย แล้วก็นิ่วหน้าเมื่ออาการบาดเจ็บทางด้านหลังถูกกดทับ

เมื่อนางขยับลงจากตัวของเขาแล้วเขาจึงค่อยๆ ขยับตัวแล้วลุกขึ้นนั่ง เห็นนางนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดเขาจึงจับนางพลิกกายให้ตะแคงหันหน้าไปอีกด้าน แล้วก้มลงตรวจสอบอาการบาดเจ็บของนางอย่างละเอียดและเบามือ เมื่อเห็นว่ารอยปูดบวมเริ่มลดลงบ้างแล้ว แต่อาการอักเสบน่าจะยังคงหลงเหลือเขาจึงได้ก้มลงไปดึงกล่องเข็มกล่อมเล็กๆ ที่ซุกอยู่ตรงชายแขนเสื้อออกมา

“ข้าจะช่วยฝังเข็มให้ อยู่นิ่งๆ นะ” เขาเอ่ยเสียงเบาแล้วดึงเข็มออกมาฝังลงไปบริเวณที่มีอาการบวมปูดเพื่อช่วยลดอาการอักเสบ และยังแทงลงไปอีกหลายเข็มเพื่อตรวจสอบดูว่ามีอาการเลือดคั่งหรือว่ามีอาการบาดเจ็บเพิ่มอีกหรือไม่

“มีเพียงอาการอักเสบเล็กน้อย เป็นแค่เพียงอาการบาดเจ็บภายนอกส่วนอาการบาดเจ็บภายในไม่มีสิ่งใดต้องกังวล” เขาเอ่ยพลางดึงเข็มออก

“ดูจากร่องรอยอาการบาดเจ็บของเจ้าแล้ว เจ้าน่าจะล้มลงกระแทกพื้นอย่างรุนแรง เคราะห์ดีที่ศีรษะไม่แตกและไม่ได้กระทบกระเทือนถึงภายใน เจ้าแน่ใจนะว่าจดจำไม่ได้ว่ามาที่นี่ได้อย่างไร” เมื่อเขาถามเช่นนี้นางก็ส่ายหน้าแล้วจ้องมองเขาด้วยสีหน้าอันว่างเปล่า

“พอคิดว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรหัวของข้าก็พลันว่างเปล่า รู้เพียงว่าข้ากำลังอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนมากมาย แต่แล้วก็มีอะไรบางอย่างกำลังพุ่งมาชนข้า แล้วก็มีคนพุ่งเข้ามาผลักข้าให้พ้นทางข้าจึงได้ล้มลงบนพื้นแล้วหมดสติไป เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเองมานอนอยู่ท่ามกลางป่าเขาที่ไร้ผู้คนแถมยังมีหิมะที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย จนได้พบกับท่านที่มาให้การช่วยเหลือนี่แหละ” ซูเพ่ยเพ่ยเอ่ยเล่าเรื่องจริงบ้างเท็จบ้างออกมาแล้วก็ทำสีหน้าที่เมื่อผู้อื่นมองแล้วจะอดรู้สึกสงสารไม่ได้ออกมา นางพึ่งจะจำได้ว่าที่จริงแล้วรถคันนั้นยังไม่ทันได้สัมผัสตัวนางเลย มีคนผู้หนึ่งมาผลักนางให้พ้นทางรถเสียก่อน หากนางโดนรถคันนั้นชนยามนี้คงไม่ได้มีอาการบาดเจ็บเพียงเท่านี้เป็นแน่

“จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องเศร้าใจไปหรอก ที่ข้าถามเป็นเพราะข้าแค่รู้สึกสงสัยเพียงเท่านั้นว่า ในเมื่อเจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บถึงอวัยวะภายในแล้วเหตุใดจึงจดจำเรื่องราวไม่ได้” คำพูดของเขาทำให้ซูเพ่ยเพ่ยหลุบตาลง

“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงหดหู่เพียงแต่นี่ไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำ นางกำลังรู้สึกหดหู่อยู่จริงๆ หลี่เหวินหลางเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางก็อดรู้สึกเห็นใจไม่ได้ เขายื่นมือไปลูบที่ศีรษะของนางเบาๆ เพื่อปลอบโยนแล้วเอ่ยกับนางว่า

“ไม่เป็นไรนะ อีกไม่นานก็คงจะดีขึ้น” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้นางก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา คนทั้งสองสบตากันด้วยสายตาลึกซึ้งอยู่ครู่ หนึ่งคนหนึ่งมองด้วยความเห็นใจ ส่วนอีกคนมองด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง ซูเพ่ยเพ่ยเป็นฝ่ายหลบสายตาก่อนด้วยรู้สึกว่าบรรยากาศแปลกๆ เช่นนี้ออกจะรวดเร็วเกินไปสักหน่อยสำหรับคนที่พึ่งจะพบกัน แต่เมื่อเห็นว่าฝ่ามืออันอบอุ่นของเขายังคงวางอยู่บนศีรษะของตนนางจึงได้กระแอมออกมาแล้วเอ่ยถ้อยคำที่แม้แต่ตนเองยังรู้สึกว่านางพูดออกมาเพื่อสิ่งใด ไม่ได้สมเหตุสมผลเลยสักนิด

“ขอโทษนะ แต่ว่าท่านช่วยเอามือออกไปจากศีรษะของข้าได้หรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรชายหญิงก็ไม่ควรใกล้ชิดกัน” คำพูดนี้ของนางทำให้หลี่เหวินหลางยกฝ่ามือของตนออกในทันที แล้วก็เอ่ยตอบโต้นางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“คนที่พูดประโยคนี้ไม่ควรจะเป็นเจ้านะ” เมื่อเอ่ยจบเขาก็ขยับตัวลุกขึ้นแล้วเดินออกไป ทิ้งให้ซูเพ่ยเพ่ยนั่งนิ่งด้วยสีหน้าแดงก่ำเพราะความขัดเขิน

‘แสดงละครมาก็หลายเรื่อง ต้องแสดงละครแนบชิดกับผู้ชายมากกว่านี้ก็หลายครั้ง ทำไมจะต้องทำตัวโง่เง่าและวางตัวไม่ถูกเช่นนี้ด้วย’ ซูเพ่ยเพ่ยได้แต่ดุด่าตนเองอยู่ในใจ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel