บทย่อ
ลืมตาขึ้นมาในยุคโบราณที่ไม่ได้มีอยู่ในประวัติศาสตร์แถมยังได้รับบาดเจ็บเสียด้วย โชคดีมีคนช่วยเหลือเพียงแต่ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายก็คือต้องยอมแต่งงานกับเขา “แต่งก็แต่งสิ มีบ้านให้อยู่ มีเงินให้ใช้ แถมยังมีสามีที่มีความสามารถในการรักษาอีก คนไร้ที่พักพิงเช่นข้ายังจะมีหน้าปฏิเสธท่านได้อีกหรือ” นี่คือคำพูดของซูเพ่ยเพ่ย หลังจากนั้นน่ะหรือนางจึงได้ลิ้มรสถึงความยากลำบากของการเป็นฮูหยินของหมอเทวดาจอมหยิ่ง หยิ่งขนาดไหนน่ะหรือไม่พอใจข้าไม่รักษาก็ได้… ส่วนเงินค่ารักษานั้นก็เก็บตามความพึงพอใจของข้าเช่นกัน… ฟังดูแล้วไม่น่าจะรวยเลยใช่หรือไม่ แต่ไม่เป็นไรเพราะแม้ว่าซูเพ่ยเพ่ยจะไม่เอาไหนในเรื่องอื่น แต่เรื่องการหาเงินนั้นนางไม่แพ้ผู้ใดอย่างแน่นอน
บทที่ 1 ซูเพ่ยเพ่ย
อากาศอันหนาวเหน็บและสายลมที่เหน็บหนาวทำให้ซูเพ่ยเพ่ยได้สติในที่สุด นางกะพริบตาแล้วจ้องมองท้องฟ้าอยู่ครู่หนึ่ง แต่ความวังเวงและความเงียบเชียบของบรรยากาศโดยรอบกลับทำให้นางรู้สึกประหลาดใจ ในสติสัมปชัญญะช่วงสุดท้ายก่อนที่จะหมดสตินางจำได้ว่าตอนที่ร่างของนางถูกรถคันหนึ่งพุ่งเข้ามาชน นางกำลังยืนอยู่หน้าโรงถ่ายที่มีผู้คนมากมายกำลังเฝ้ารอขอถ่ายรูปและขอลายเซ็นจากนาง ตอนที่นางล้มลงไปนอนกับพื้นมีทั้งเสียงผู้คนกรีดร้องและเสียงตะโกนด้วยความตกใจดังก้องไปหมด แต่ตอนนี้ที่นางได้ยินกลับมีเพียงเสียงสายลมหวีดหวิวอันน่ากลัวเพียงเท่านั้น
“หิมะตกแล้วหรือ” ซูเพ่ยเพ่ยพึมพำออกมาด้วยความรู้สึกประหลาดใจ นางค่อยๆ ขยับร่างกายแต่แล้วก็ต้องรีบสูดลมหายใจเข้าไปด้วยความร้าวระบม ยามนี้ร่างกายของนางปวดระบมไปทั่วร่างและยังมีความปวดอย่างรุนแรงที่ศีรษะด้วย เมื่อคิดได้ว่าตนเองพึ่งจะประสบอุบัติเหตุร้ายแรงมาต้องห้ามขยับตัว นางจึงได้แต่นอนอยู่นิ่งๆ แล้วใช้ดวงตากวาดไปมองรอบๆ เพื่อเตรียมที่จะร้องขอความช่วยเหลือ… ท่ามกลางหิมะอันขาวโพลนไร้สรรพสำเนียงของสิ่งชีวิตให้นางเห็น ถึงแม้ว่าจะรู้สึกประหลาดใจว่าทำไมตนเองมาโผล่มาอยู่ในสถานที่อันหนาวเย็นและไร้ผู้คนเช่นนี้ แต่สิ่งทำให้นางกังวลใจมากกว่าก็คือการบาดเจ็บของตนเองที่นับว่าน่าจะสาหัสมากทีเดียว
‘เห็นทีว่าเราคงจะต้องตายที่นี่แล้วกระมัง’ ซูเพ่ยเพ่ยคิดอยู่ในใจพลางหลับตาลงอย่างอ่อนแรง
“แม่นาง แม่นางเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงเรียกอันแผ่วเบาทำให้ซูเพ่ยเพ่ยลืมตาขึ้นมาได้อีกครั้ง ผู้ชายที่กำลังก้มมองนางมีดวงตาที่สวยงามเป็นอย่างยิ่ง จมูกโด่งเป็นสันริมฝีปากอันบางเฉียบกำลังเม้มแน่นและดวงตาที่เรียวยาวและงดงามมากคู่นั้นกำลังจ้องมองนางอยู่
“ชะ ช่วยด้วย” นางเอ่ยได้เพียงเท่านั้นแล้วก็หมดสติไป ชายหนุ่มที่เข้ามาช่วยนางได้แต่ขมวดคิ้วแล้วยื่นมือไปที่ข้อมือของนางเพื่อทำการตรวจชีพจร เขานิ่วหน้าอีกครั้งแล้วจึงได้ค่อยๆ ใช้ฝ่ามือของตนเองสำรวจร่างกายของนางอย่างละเอียด
“มีบาดแผลภายนอกเพียงไม่กี่จุดแถมยังเล็กน้อย แต่จุดที่หนักหนามากที่สุดก็คือรอยปูดบวมที่ศีรษะ แม่นางถ้าข้าทิ้งเจ้าเอาไว้ที่นี่เจ้าคงจะไม่รอดแน่” เขาเอ่ยพึมพำเสียงเบาพลางมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าหนักใจ พายุหิมะกำลังจะมาหากเป็นเขาเพียงคนเดียวรีบเดินทางกลับก็คงจะทัน แต่หากพาสตรีผู้นี้ไปด้วยคงไม่ทันเป็นแน่ ศีรษะของนางได้รับรับบาดเจ็บไม่อาจจะได้รับความกระทบกระเทือนได้ต้องเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง สุดท้ายเขาจึงทอดถอนใจออกมาแล้วค่อยๆ ช้อนร่างของนางขึ้น
“แม่นางเหตุใดเจ้าจึงสวมใส่เครื่องแต่งกายน้อยชิ้นเช่นนี้” เขาอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ ไม่ใช่แค่เพียงสวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นแถมยังรัดรูปร่างของนางไปเกือบจะทุกสัดส่วนอีกด้วย เขารีบเก็บสายตาออกจากร่างของนางในทันที แล้วรีบอุ้มนางตรงไปยังถ้ำที่ตนเองเคยพักทุกครั้งที่ออกมาเก็บสมุนไพร
เมื่อเข้าไปในถ้ำแล้วเขาก็ค่อยๆ วางร่างของนางลงอย่างเบามือและไม่ลืมที่จะถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตนออกมาคลุมให้นาง หลี่เหวินหลางจ้องมองสตรีตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งแล้วสุดท้ายก็ทอดถอนใจออกมา เขารีบตรงไปยังผนังถ้ำที่มีข้าวของของเขาซุกซ่อนอยู่ตรงซอกหินแล้วก็พลันทอดถอนใจออกมา ไม่มีเสบียงอาหารที่กินได้มีเพียงสมุนไพรที่เขาลืมทิ้งไว้ สุดท้ายเขาก็ได้แต่ตัดใจเดินตรงไปรวบรวมกิ่งไม้แห้งที่ตนเองเคยหามากองไว้นำไปก่อกองไฟเพื่อขับไล่ความชื้นและเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ตนเองและนาง
เมื่อร่างกายอบอุ่นดีแล้วเขาจึงได้หันไปให้สนใจสตรีที่ตนเองช่วยเอาไว้ด้วย เนื้อตัวของนางมีรอยฟกช้ำบริเวณต้นขาและปลีน่อง ที่ฝ่ามือและข้อศอกมีร่องรอยบาดแผลและรอยถลอก ส่วนศีรษะเขาตรวจอีกครั้งอย่างละเอียดแล้วไม่อาการเลือดคั่งหรือได้รับบาดเจ็บในอวัยวะด้านใน กะโหลกศีรษะไม่มีร่องรอยของการแตกร้าว ส่วนรอยปูดบวมนั้นแม้ว่ามีขนาดใหญ่โตจนดูน่ากลัวไปบ้างแต่หลี่เหวินหลางกลับคิดว่าไม่ได้ร้ายแรงอันใด กินยาต้มเพียงไม่กี่เทียบก็ยุบลงแล้ว
‘นางเป็นใครและมาจากไหน เหตุใดจึงได้มานอนอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว เครื่องแต่งกายที่นางสวมใส่ก็ดูประหลาดนัก’ หลี่เหวินหลางได้แต่คิดสงสัยอยู่ในใจ เมื่อเห็นว่าเครื่องแต่งกายของนางทั้งบางและแนบชิดกับลำตัวจนเห็นสัดส่วนและรูปร่างของนางไปหมดเช่นนี้เขาก็รีบดึงสายตาของตนเองกลับมาแล้วดึงเสื้อคลุมปิดบังร่างกายของนางอย่างมิดชิด แล้วรีบลุกไปหาหม้อยาที่ตนน่าจะเคยทิ้งไว้ที่นี่ในทันที
“แม่นางเจ้าพยายามดื่มยานี่สักหน่อย ข้าช่วยฝังเข็มให้เจ้าแล้วเมื่อดื่มยาเข้าไปอีกอาการของเจ้าก็คงจะดีขึ้น” เสียงเรียกพร้อมกับมีฝ่ามืออบอุ่นช่วยประคองแผ่นหลังของนางขึ้นทำให้ซูเพ่ยเพ่ยต้องลืมตาตื่นขึ้นมา กลิ่นขมลอยตลบอบอวลเข้าจมูกทำให้สติของนางแจ่มชัดขึ้น
“นี่คืออะไร” นางเอ่ยถามพลางขมวดคิ้ว
“ยา เจ้ารีบดื่มเถอะเมื่อดื่มไปแล้วอาการปวดศีรษะของเจ้าน่าจะดีขึ้น” เมื่อได้ยินว่าอาการปวดหัวจะดีขึ้นนางก็รีบดื่มเข้าไปในทันที ตอนนี้นางปวดศีรษะเป็นอย่างมากต่อให้ยาจะขมมากเพียงใดนางก็ไม่สนใจ
“ที่นี่คือที่ไหน” ความขมของยาทำให้นางได้สติอย่างเต็มที่ซูเพ่ยเพ่ยค่อยๆ กวาดสายตาไปมองรอบๆ แล้วก็ทอดถอนใจออกมา ในใจก็คิดว่านางป่วยจนถึงขั้นนี้แต่ผู้จัดการกลับไม่สนใจจะพานางไปหาหมอแถมยังพานางมาโยนทิ้งไว้ในกองถ่ายอีก แต่เมื่อสังเกตรอบกายดีๆ นางก็นิ่งงันไปชายหนุ่มที่กำลังโอบประคองนางอยู่ไม่ใช่คนที่นางเคยเห็นหน้า หม้อยาที่ตั้งอยู่บนกองไฟก็ดูแนบเนียนจนเกินไป ยังไม่นับเสียงลมและเสียงพายุหิมะที่ดังเข้ามาถึงด้านในทำให้ซูเพ่ยเพ่ยนั่งนิ่งเพื่อคาดเดาสถานการณ์ของตนเองใหม่อีกครั้งในทันที
“ที่นี่คือถ้ำที่อยู่กลางป่า ข้ามาเก็บสมุนไพรตั้งใจว่าจะรีบกลับบ้านก่อนที่พายุจะมาแต่กลับพบเจ้านอนไม่ได้สติอยู่ท่ามกลางกองหิมะ ข้าจึงได้ตัดสินใจพาเจ้ามาพักฟื้นที่ถ้าแห่งนี้ก่อน” ระหว่างที่เขาพูดซูเพ่ยเพ่ยก็สอดส่ายสายตาไปรอบๆ เพื่อหาว่ามีกล้องแอบถ่ายอยู่หรือไม่ แต่เมื่อคิดว่าตนเองได้รับอุบัติเหตุและบาดเจ็บเช่นนี้คงไม่มีใครคิดพิเรนทร์กลั่นแกล้งคนเจ็บอย่างนางด้วยการตั้งกลองแอบถ่ายแล้วสร้างสถานการณ์ให้นางเข้าใจผิดแน่ๆ ซูเพ่ยเพ่ยพยายามรวบรวมสติอีกครั้งแล้วเอ่ยถามเขาเบาๆ
“ที่นี่คือที่ไหน วันเดือนปีอะไร” ซูเพ่ยเพ่ยเอ่ยถามพลางจ้องมองใบหน้าของเขาด้วยสายตาค้นคว้าอีกครั้ง
“ที่นี่คือเขตชายแดนแคว้นต้าหรง ขึ้นห้าค่ำเดือนสิบเอ็ด รัชศกหย่งอันที่สิบสาม” ทันทีที่ได้ยินคำตอบนางก็ยังคงนิ่วหน้าแล้วจ้องมองเขาด้วยสีหน้าแปลกประหลาดเขาจึงได้เอ่ยต่อด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ข้าคือหลี่เหวินหลาง เป็นหมอรักษาผู้คนแถบนี้ นี่ต้องให้ข้าบอกอายุของตนเองด้วยเลยไหม” เมื่อเขาถามเช่นนี้นางก็พยักหน้า เขาจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมาแล้วบอกกับนางด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“ปีนี้ข้าอายุย่างยี่สิบสามปีแล้ว ที่บ้านของข้ายังมีมารดาผู้แก่ชรามากแล้วให้ต้องดูแล แถมยังมีลูกศิษย์ตัวน้อยอีกหนึ่งคนที่ต้องคอยเลี้ยงดูและสั่งสอน” คำตอบของเขาทำให้ซูเพ่ยเพ่ยนั่งไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงได้ถอนใจออกมาพลางคิดในใจว่า
‘เคยได้มีโอกาสแสดงเป็นคนทะลุมิติบ้าง ย้อนเวลาบ้างมาก็หลายเรื่อง เห็นทีว่าคราวนี้จะเจอของจริงเข้าแล้ว สวรรค์ตอนแสดงเป็นคนอื่นก็ได้ไปอยู่ในวังบ้าง ในจวนเศรษฐีบ้าง แต่ทำไมเราตอนนี้ถึงได้มาอยู่กลางป่าแถมยังมีสภาพอเนจอนาถถึงขั้นนี้ด้วยนะ’

