บทที่ 5 บ้านสกุลหลี่
หลี่เหวินหลางหายออกจากถ้ำไปครู่หนึ่งแล้วก็กลับมาพร้อมด้วยเนื้อกระต่ายที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว และหิมะก้อนกลมๆ ก้อนหนึ่ง หลังจากละลายหิมะก้อนนั้นแล้วเขาก็เทแบ่งใส่กระบอกน้ำดื่ม ส่วนที่เหลือก็นำมาจัดการกับเนื้อกระต่าย จากนั้นก็นำเนื้อกระต่ายลงไปต้มกับสมุนไพรอีกหลายอย่าง ผ่านไปเพียงครู่ก็ได้กินหอมๆ ของน้ำแกงกระต่ายแล้ว
“ใช้น้ำนี่ล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย เจ้าพอจะลุกไหวหรือไม่” เขาเอ่ยพลางยื่นกระบอกน้ำมาให้
“ข้าลุกไหวเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลางรับกระบอกน้ำมาแล้วค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นโดยมีเขาช่วยประคอง เขาพานางไปอีกด้านหนึ่งของถ้ำแล้วก็ปล่อยให้นางจัดการตนเอง เมื่อนางบ้วนปากล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ค่อยเดินกลับไปหาเขา
“พายุหิมะเบาบางลงแล้ว เมื่อกินอาหารเสร็จพวกเราควรจะรีบเดินทางออกจากที่นี่ดีกว่า อาการบาดเจ็บของเจ้าควรจะได้พักผ่อนในสถานที่ที่สะดวกสบายกว่านี้” เขาเอ่ยพลางยื่นชามเล็กๆ ที่ใส่น้ำแกงและเนื้อกระต่ายจนเต็มชามมาให้นาง เมื่อนางรับมาแล้วเขาก็หันไปตักน้ำแกงที่เหลือใส่ชามของตนเอง
เมื่อกินน้ำแกงจนหมดถ้วยแล้ว เขาก็ยื่นชามยามาให้นางก็รับไปดื่มแต่โดยดี หลังจากนั้นเขาก็รวบรวมถ้วยชามและหม้อต้มไปจัดการทำความสะอาดที่ด้านนอก เมื่อล้างเสร็จกลัวแล้วก็นำมาวางไว้ยังจุดเดิมที่เขาเคยวางเอาไว้ จัดแจงตรวจตรากองไฟอีกครั้งเมื่อเห็นว่าดับมอดดีแล้วจึงได้เดินไปสำรวจที่ตะกร้าไม้ไผ่ เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วเขาก็แบกตะกร้าขึ้นหลังแล้วจึงหันมามองนาง
“มาข้าจะช่วยประคองเจ้าไป หากไม่ไหวก็ให้บอกข้า” เขาเอ่ยกับนางเสียงเบาแล้วเดินมาช่วยประคองนาง ซึ่งนางก็ให้ความร่วมมือแก่เขาเป็นอย่างดี
พวกเขาเดินทางอย่างเชื่องช้า หนึ่งเพราะเกรงว่าจะกระทบกระเทือนกับอาการบาดเจ็บที่ศีรษะของนาง และสองนางยังรู้สึกปวดตึงบริเวณกล้ามเนื้อที่กระแทกกับพื้น เมื่อนางฝืนเดินจึงนับว่าเป็นเรื่องที่กินแรงเป็นอย่างมาก แต่เพราะเห็นว่ายามนี้จิตใจของเขาอยากกลับบ้านของตนเร็วๆ แล้วนางจึงได้กัดฟันฝืนตนเองพยายามเดินให้เร็วมากยิ่งขึ้นและอดทนต่อความเหน็ดเหนื่อยพยายามเดินทางให้ได้มากที่สุดก่อนที่เขาจะชวนหยุดพักผ่อนอีกครั้ง
พวกเขาเดินๆ หยุดๆ อยู่เช่นนี้จนพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าอีกครั้ง หลี่เหวินหลางจึงได้หันมาเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน
“อดทนอีกนิดนะจึงถึงปากทางเข้าหมู่บ้านแล้ว” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ซูเพ่ยเพ่ยก็พยักหน้า แม้ว่านางจะไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาแต่เรี่ยวแรงของนางกลับเหือดหายไปจนหมดสิ้นแล้ว ในยามปกติหากต้องเดินเท้าไกลขนาดนี้นางก็คงจะไม่เป็นอะไรมากนัก แต่ตอนนี้ร่างกายของนางพึ่งจะได้รับบาดเจ็บมา นางจึงเหนื่อยมากกว่าในยามปกติ ซึ่งดูเหมือนว่าหลี่เหวินหลางจะรู้ดีเขาจึงตัดสินใจย่อกายลงแล้วอุ้มนางขึ้นแล้วรีบเดินลัดเลาะหลบเลี่ยงสายตาของผู้คนเพื่อตรงไปยังบ้านของเขาที่อยู่ทางด้านหลังของหมู่บ้าน
แม้ว่าเขาจะระมัดระวังเป็นอย่างดีแล้วแต่สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือในยามนี้ที่บ้านของเขากำลังต้อนรับแขกอยู่ ภาพที่ชายหนุ่มแบกตะกร้าไม้ทางด้านหลัง ส่วนด้านหน้าก็กำลังอุ้มสาวงามผู้หนึ่งอยู่หากเป็นคนที่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกับเขาดีก็จะรู้ว่าเสื้อคลุมที่สาวงามผู้นั้นสวมใส่อยู่ก็คือเสื้อคลุมของเขา
“อาหลางนี่คือใครกัน เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ” หยวนซื่อมารดาของหลี่เหวินหลางเป็นคนแรกที่ตั้งสติได้แล้วจึงเอ่ยถามลูกชายด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“นางได้รับบาดเจ็บและหลงทางลูกก็เลยช่วยนางเอาไว้ รบกวนท่านแม่ช่วยจัดห้องให้นางได้หรือไม่” หลี่เหวินหลางเอ่ยกับมารดาด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“ได้สิ เช่นนั้นคุณหนูซ่งข้าคงต้องขอตัวก่อน” เมื่อเห็นว่านางรับปากและเอ่ยขอตัวกับแขกเพื่อไปจัดการเรื่องห้องพักแล้ว หลี่เหวินหลางจึงได้หันหน้าไปทักทายแขกที่ยังนั่งอยู่ในโถงกลางบ้าน
“คุณหนูซ่ง วันนี้มาที่บ้านของข้าด้วยเรื่องใดหรือ” คำถามของเขาทำให้ซ่งจือเหยากำผ้าเช็ดหน้าแน่น วันนี้นางอุตส่าห์ตัดสินใจบากหน้ามาหาเขาด้วยตนเองที่นี่ เมื่อรู้ว่าเขาไม่อยู่ก็ยืนกรานที่จะรอ คิดไม่ถึงว่าประโยคแรกที่เขาทักทายจะมีความเย็นชาและห่างเหินเช่นนี้
“ข้าได้ผลไม้มาตะกร้าหนึ่ง คิดว่าฤดูหนาวเช่นนี้ผลไม้เหล่านี้ย่อมเป็นของหายาก ข้าจึงอยากจะนำมามอบให้พวกท่านได้ลิ้มรสบ้าง” คำพูดของนางทำให้ซูเพ่ยเพ่ยที่ยามนี้ถูกหลี่เหวินหลางอุ้มไปวางนางลงบนเก้าอี้ถึงกับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ
“ขอบคุณในน้ำใจของคุณหนูซ่งแต่บ้านของข้าไม่ได้ขาดแคลนสิ่งใด ผลไม้เหล่านี้รบกวนคุณหนูนำกลับไปเสียเถอะ” คำพูดตัดรอนของเขาทำให้ซ่งจือเหยารู้สึกอับอาย แต่เมื่อนางได้เห็นใบหน้าของคนที่หลี่เหวินหลางพามาด้วยความอับอายก็พลันเปลี่ยนเป็นไม่พอใจแทนในทันที
“คนผู้นี้คือใครกัน เหตุใดท่านจึงต้องพานางมาที่บ้านของท่านด้วย นางได้รับบาดเจ็บท่านก็แค่รักษาและพานางไปส่งที่บ้านก็พอแล้วมิใช่หรือ” คำพูดของซ่งจือเหยาทำให้หลี่เหวินหลางทอดถอนใจออกมา
“ข้าจะทำเรื่องใดมันก็มิใช่กงการอันใดของคุณหนู” คำพูดของหลี่เหวินหลางทำให้ซ่งจือเหยาถึงกับลุกขึ้นยืนในทันที
“เหตุใดต้องเอ่ยวาจาตัดรอนข้าจนถึงขั้นนี้ ตอนแรกเป็นสกุลหลี่ของท่านส่งแม่สื่อไปทาบทามข้าก่อนมิใช่หรือ เพราะตอนนั้นข้ายังไม่รู้จักท่านก็เลยปฏิเสธไป แต่ยามนี้ข้ารู้แล้วว่าท่านคือใครและข้าก็รู้แล้วว่าตนเองตัดสินใจผิด หลี่เหวินหลางข้าข่มความอับอายมาหาท่านด้วยตนเองถึงเพียงนี้ท่านก็ยังไม่คิดจะให้อภัยข้าเชียวหรือ” คำพูดของซ่งจือเหยาทำให้ซูเพ่ยเพ่ยที่นั่งฟังอยู่ถึงกับลอบทอดถอนใจพลางคิดในใจว่า
‘นี่เรากำลังมานั่งเป็นพยานการสารภาพรักของคนอื่นอยู่ใช่ไหม’ นางคิดอยู่ในใจพลางหันไปจ้องมองหลี่เหวินหลางด้วยสายตาเหลือเชื่อด้วยคิดไม่ถึงว่าคนหน้าตาดีอย่างเขาจะถูกผู้หญิงหน้าตาธรรมดาๆ ปฏิเสธได้
“คุณหนูซ่งข้าบอกกับท่านไปหลายครั้งแล้วว่าเรื่องที่ท่านแม่ของข้าส่งแม่สื่อไปทาบทามข้าไม่ได้รู้เรื่องเลยสักนิด อีกทั้งข้าเองก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บแค้นอันใดในตัวเจ้า อันที่จริงข้ารู้สึกขอบคุณด้วยซ้ำที่เจ้าปฏิเสธ” คำพูดนี้ของหลี่เหวินหลางทำให้คนฟังอย่างซ่งจือเหยาและสาวใช้ของนางมีสีหน้าทั้งไม่พอใจและกระอักกระอ่วน ส่วนซูเพ่ยเพ่ยนั้นถึงกับพยักหน้าให้แก่ตนเองพลางคิดในใจว่าที่แท้ก็เป็นเรื่องราวที่เข้าใจผิดกันนั่นเอง
“ที่ท่านพูดมาเช่นนี้คงเพราะไม่พอใจที่ข้าปฏิเสธท่านก่อน ช่างเถอะรอให้ท่านคลายความไม่พอใจลงได้แล้วข้าจะมาหาท่านใหม่” เมื่อเอ่ยจบนางลุกขึ้นยืนปรายตาไปมองซูเพ่ยเพ่ยอีกครั้งด้วยสายตาไม่ชอบใจแล้วก็เดินจากไปในทันที โดยไม่คิดจะอยู่อำลาหยวนซื่อที่ต้อนรับขับสู้นางเป็นอย่างดีมาตลอดทั้งวันเลยสักนิด
“มีคนเช่นนี้ด้วยหรือ ก็เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าท่านปฏิเสธนางอย่างเด็ดขาดแล้ว” ซูเพ่ยเพ่ยเอ่ยออกมาอย่างที่ใจของตนคิดแต่หลี่เหวินหลางกลับหัวเราะออกมาเบาๆ
“คนเราก็มีหลากหลายรูปแบบเช่นนี้แหละ นานวันเข้าเจ้าจะเข้าใจเอง” เขาเอ่ยพลางวางตะกร้าที่แบกอยู่ทางด้านหลังลงแล้วคัดแยกสมุนไพรด้านในโดยไม่สนใจนางอีก
