บทที่ 3 ถ้ำกลางป่า
ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาว หลี่เหวินหลางเดินไปสำรวจหน้าปากถ้ำแล้วจึงได้ตัดสินใจปั้นหิมะก้อนใหญ่ปิดบังปากถ้ำเอาไว้ เหลือช่องให้อากาศเข้าออกเพียงเล็กน้อยเพื่อระบายควันไฟและใช้เป็นช่องระบายอากาศภายใน ยามนี้เสื้อคลุมตัวยาวของเขาอยู่บนตัวของผู้อื่นเรียบร้อยแล้ว อากาศอันหนาวเย็นในค่ำคืนนี้จึงมีผลกระทบต่อเขามากเป็นพิเศษ
‘หนาวจริงๆ ไม่รู้ว่านางเป็นอย่างไรบ้าง’ เขาคิดพลางเดินไปอบอุ่นร่างกายตรงข้างกองไฟครู่หนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้นางได้รับไอความเย็นจากตัวเขา เมื่อเนื้อตัวแห้งและอบอุ่นขึ้นมาแล้วเขาจึงได้เดินไปดูอาการของนาง
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เอาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่านางกำลังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองเขาอยู่
“เมื่อครู่นี้ข้าคิดว่าตนเองจะถูกทิ้งแล้วเสียอีก” นางไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่กลับเอ่ยถึงสิ่งที่ตนเองคิดก่อนหน้าที่เขาจะกลับเข้ามา เมื่อครู่นี้เมื่อนางตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นเขา นางทั้งหวาดกลัวและสิ้นหวังไปพร้อมๆ กัน ด้วยคิดว่าบ้านก็กลับไม่ได้คนให้พึ่งพาก็หนีไปเสียแล้ว สถานการณ์เช่นนี้มันทำให้นางอยากร้องไห้ออกมาดังๆ อย่างแท้จริง
“ข้าจะทิ้งเจ้าไปได้อย่างไรกัน ในเมื่อเจ้าทั้งได้รับบาดเจ็บและอ่อนแอถึงเพียงนี้” เขาเอ่ยพลางทรุดตัวลงเคียงข้างนางแล้วยื่นมือไปตรวจสอบอุณหภูมิที่หน้าผากของนางด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนลง
“ไม่มีไข้แล้ว ดียิ่งกินอาหาร ดื่มยาแล้วก็นอนพักอีกสักหน่อยก็หน้าจะดีขึ้น” เขาเอ่ยพลางเดินไปที่ตะกร้าหยิบขนมเปี๊ยะของตนเองออกมา ถือกระบอกน้ำและถ้วยยาที่เขาเคี่ยวทิ้งเอาไว้นานแล้วเดินตรงไปหานางเอา
“ขนมเปี๊ยะไส้เนื้อของท่านแม่ข้าอร่อยมากทีเดียว แม้ว่าจะเย็นแล้วแต่เนื้อสัมผัสยังคงนุ่มและชุ่มฉ่ำอยู่ เจ้าค่อยๆ กินเถอะเมื่อกินเสร็จแล้วจะได้ดื่มยา” เขาเอ่ยพลางส่งขนมให้นางก่อนแล้วจึงนั่งลงเพื่อสำรวจว่ากองหญ้าแห้งที่นางนอนอยู่สามารถป้องกันความเย็นได้มากน้อยเพียงใด
“ท่านก็กินด้วยกันเถอะ ชิ้นโตขนาดนี้ข้ากินไม่หมดหรอก” ซูเพ่ยเพ่ยเอ่ยพลางบิขนมเปี๊ยะชิ้นโตออกเป็นสองส่วนนางเลือกส่วนที่มีชิ้นใหญ่ให้เขาซึ่งเขาก็รับไปโดยไม่คิดจะปฏิเสธ
‘แบ่งชิ้นใหญ่คืนกลับมาให้ข้าเช่นนี้ นับว่าสตรีผู้นี้ยังพอจะมีจิตสำนึกที่ดีอยู่บ้าง’ หลี่เหวินหลางคิดพลางกัดกินขนมด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ส่วนซูเพ่ยเพ่ยนั้นก็ได้แต่คิดว่า ‘ชิ้นใหญ่ขนาดนั้นถ้ากินหมดทั้งชิ้นจะต้องรู้สึกผิดทีหลังเป็นแน่ อุตส่าห์ระมัดระวังเรื่องการควบคุมแป้งและเนื้อสัตว์มาตั้งนานจะมาสติหลุดเพียงเพราะการต้องมาอยู่ข้างนอกเช่นนี้ไม่ได้’ นางคิดพลางค่อยๆ กัดกินขนมเปี๊ยะคำเล็ก
“อร่อยจัง” นางเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พลางก้มลงกินขนมในมือจนหมด แล้วจึงได้หันไปยกกระบอกน้ำที่ทำจากบ้องไม้ไผ่ขึ้นมาดื่ม
“จะกินอีกหรือไม่ยังมีอีกนะ” เขาเอ่ยถามนางพลางส่งยิ้มมาให้ซึ่งนางก็รีบส่ายหน้าเพื่อปฏิเสธในทันที
“ไม่กินแล้ว ข้าไม่ได้กินแป้งกับเนื้อมานานอยู่ๆ กินเยอะเกินอาจจะมีปัญหาเรื่องระบบย่อยอาหาร” นางเอ่ยพลางคิดถึงตนเองเมื่อก่อนที่เคยตบะแตกดื่มและกินอาหารตามใจปากสุดท้ายก็ปวดท้องจนต้องนอนโรงพยาบาลเพียงเพราะเรื่องอาหารไม่ย่อย เมื่อคิดย้อนกลับไปก็อดรู้สึกขายหน้าไม่ได้
“เช่นนั้นหรอกหรือ” หลี่เหวินหลางเอ่ยพลางหลุบตาลงเพื่อปิดบังความรู้สึกสงสารในแววตา ชายแดนแถบนี้เต็มไปด้วยชาวบ้านยากจนเขาจึงได้พบเจอกับผู้คนที่ได้รับความอดยากมามากมาย คิดไม่ถึงว่าสตรีตรงหน้าแม้ว่าผิวพรรณและท่าทางจะดูเหมือนคนที่มีความรู้และเคยชินกับความสะดวกสบายมาก่อนจะได้รับความทุกข์ยากอย่างเช่นการที่ไม่ค่อยจะได้กินอาหารจำพวกแป้งและเนื้อเช่นนี้
“ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรหรือ พอจะบอกได้ไหมว่าอเมืองที่เจ้าจากมาอยู่ส่วนไหนของแคว้นต้าหรง หรือว่าเจ้าไม่ใช่คนของแคว้นนี้ก็สามารถบอกข้าได้นะ เผื่อว่าข้าจะสามารถหาช่องทางส่งตัวเจ้ากลับไปที่บ้านของเจ้าได้” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ซูเพ่ยเพ่ยก็ส่ายหน้า นางคิดเอาไว้แล้วว่าคงไม่อาจจะบอกเขาได้ว่านางมาจากโลกอนาคตแถมยังไม่รู้จักดินแดนต้าหรงของเขาเลยสักนิด นางไม่แน่ใจว่าดินแดนต้าหรงแห่งนี้เคยมีอยู่ในประวัติศาสตร์หรือไม่ก็เป็นเมืองที่อยู่ในโลกต่างมิติของนางกันแน่ ยามนี้นางจึงทำได้แค่เพียงได้รับบาดเจ็บจนจดจำสถานที่ที่ตนเองจากมาไม่ได้เพียงเท่านั้น
“ข้าชื่อซูเพ่ยเพ่ย ส่วนข้ามาจากไหนและเมืองของข้าอยู่ที่ใดข้าเองก็จดจำไม่ได้แล้ว” นางเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าว่างเปล่าแต่สายตากลับมีความเศร้าหมองเจือปนอยู่ไม่น้อย สีหน้าและแววตาของนางทำให้หลี่เหวินหลางเชื่อคำพูดของนางในที่สุด อีกทั้งเขายังคิดว่านางไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโกหก ต่อให้เป็นคนต่างแคว้นนางก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปิดบังเขา
“ถ้าเช่นนั้น หลังจากนี้เจ้าก็อยู่ที่บ้านของข้าไปก่อน ช่วงนี้ท่านแม่ของข้าก็ชราภาพมากแล้วมีเจ้าคอยช่วยเหลือก็คงจะดี” เขาเอ่ยออกมาตามตรง
ยามนี้ในหัวของเขามีหลายเรื่องให้ต้องกังวล เรื่องสุขภาพของมารดาก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องกังวลเข่นกัน ช่วงนี้นางบีบบังคับให้เขาแต่งงานมาตั้งหลายครั้งแล้ว โดยใช้ข้ออ้างเรื่องที่สุขภาพของตนไม่ดีและต้องการคนช่วยนางดูแลบ้าน ยามนี้หากมีซู่เพ่ยเพ่ยไปช่วยดูแลสถานการณ์ของเขาก็คงจะดีขึ้น มารดาของเขาเองก็คงจะล้มเลิกความคิดที่จะให้เขาแต่งงานได้เสียที
“ได้ ท่านไม่ต้องกังวลข้าคนนี้เป็นคนที่เข้ากับผู้อื่นได้ง่ายมาก รับรองว่าท่านแม่ของท่านจะต้องชอบข้าเป็นแน่” ซูเพ่ยเพ่ยตบหน้าอกตนเองอย่างขันอาสาพลางคิดในใจว่า
‘ต่อให้แม่ของเขาไม่ชอบเราก็ไม่เป็นไร เราขอแค่ได้มีที่อยู่ที่กินก่อนจะตั้งหลักได้ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องรับปากเขาไปก่อน’ นางเอ่ยพลางยิ้มออกมา แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มในทันทีเมื่อเขาส่งยาต้มมาให้นางดื่ม
“ดื่มเสียหน่อยเถอะ เจ้าจะได้หายเร็วๆ” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้นางจึงจำใจต้องรีบรับไปดื่มด้วยความรวดเร็วแล้วจึงได้หันไปหยิบกระบอกน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อล้างความขมของยาในทันที
“ว่าแต่ทำไมในถ้ำแห่งนี้จึงมีทั้งฟืน กองหญ้าแห้งและบรรดาถ้วยชามรามไหพวกนี้ได้ ท่านเคยมาพักที่นี่หรือ” นางเอ่ยถามพลางมองไปรอบๆ ถ้าด้วยความสนใจ
“ถ้ำแห่งนี้ข้ามาพักเป็นประจำยามที่มาเก็บสมุนไพร บางครั้งกว่าจะกลับได้ก็มืดค่ำจึงต้องพักที่นี่ ข้าจึงได้นำข้าวของเหล่านี้มาเตรียมสำรองเอาไว้” เขาเอ่ยพลางเก็บถ้วยยาเอาไปวางไว้ตรงหม้อดินเผาที่เขาใช้ต้มยาให้นาง
“เจ้ารีบพักผ่อนเถอะ ได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ก็ควรจะพักผ่อนให้มากๆ” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้นางจึงได้พยักหน้าให้เขา
“แล้วท่าเล่าจะนอนอย่างไร” คำถามของนางทำให้เขานิ่งงันไปได้ในที่สุดด้วยตัวของเขาเองก็ยังไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนี้มาก่อน ในเมื่อนางยึดที่นอนและเสื้อคลุมของเขาไปแล้ว แล้วเขาเล่าจะทำเช่นไร
