บทที่ 7 ปากแข็งแต่ใจอ่อน
ด้านหลังฉากกั้นที่อยู่ในห้องนอนมีถังน้ำขนาดใหญ่วางอยู่ชิดผนังด้านในของห้อง เมื่อเห็นว่าในถังใส่น้ำอุ่นจนเกือบเต็มซูเพ่ยเพ่ยก็อดรู้สึกละอายใจไม่ได้ การที่หยวนซื่อยกน้ำเข้ามาใส่ถังอาบน้ำให้นางน่าจะเป็นเรื่องที่กินแรงไม่น้อยเลย ตรงข้างถังน้ำมีกระบวยตักน้ำวางเอาไว้แถมยังมีฝักจ้าวเจี่ยวตากแห้งที่ลอกด้านนอกและเมล็ดด้านในออกไปแล้ววางเอาไว้อีกด้วย นางพอจะมีความรู้เรื่องพวกนี้อยู่บ้างเพราะได้อ่านบทละครและนวนิยายย้อนยุคมาหลายเรื่อง จึงรู้ดีว่าฝักเจ้าเจี่ยวนี้เมื่อขยี้จะเกิดฟองสามารถใช้อาบน้ำสระผมตลอดจนซักผ้าได้
นางหันไปสำรวจที่ฉากกั้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าฉากนี่สามารถช่วยบดบังสายตาของผู้อื่นได้ดีก็ค่อยๆ ถอดเสื้อคลุมตัวนอกของหลี่เหวินหลางออกแล้วจึงค่อยปลดชุดด้านในของตนเอง นางลังเลอยู่บ้างตอนที่จะปลดชุดชั้นในแต่แล้วก็คิดได้ว่าหากทำให้พวกมันเปียกต้องเดือดร้อนเรื่องการหาที่ตากอีก ยามนี้ค่ำแล้วอย่าได้หาเรื่องวุ่นวายใส่ตัวดีกว่า เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงค่อยๆ ถอดชุดชั้นในออกแล้วนำไปซุกใส่ชุดกระโปรงของตนที่พับเอาไว้แล้ว แล้วจึงได้เดินไปที่ถังน้ำแล้วก็ค่อยๆ หย่อนร่างกายของตนลงไปในถังใบใหญ่พลางทอดถอนใจออกมาด้วยความรู้สึกสบายเนื้อสบายตัว ได้อาบน้ำอุ่นในวันที่แสนจะหนาวเหน็บและเหนื่อยล้านับได้ว่าเป็นสวรรค์ของนางในยามนี้จริงๆ
“แม่นาง…ซูเพ่ยเพ่ย เพ่ยเพ่ย!” เสียงเรียกชื่อนางทำให้นางตื่นขึ้นมาจากความฝันอันแสนหวานได้ในที่สุด ด้วยความง่วงงุนและความสะลึมสะลือนางจึงขานรับเขาเสียงเบา
“ฉันอยู่นี่” เสียงขานรับของนางทำให้หลี่เหวินหลางเดินตรงมาด้านหลังฉากกั้นด้วยสีหน้าเป็นห่วง แต่เมื่อเห็นว่านางยังคงนั่งทำสีหน้าสะลึมสะลืออยู่ในถังอาบน้ำใบใหญ่ ไม่ได้จมน้ำตายไปแล้วอย่างที่เขากังวลเขาจึงรีบหันหลังกลับแล้วเดินไปอยู่ด้านหลังฉากในทันที
“แช่อยู่ในนั้นมานานเท่าใดแล้ว รีบขึ้นมาเถอะยามนี้น้ำคงจะเย็นมากแล้วกระมัง” คำพูดของเขาทำให้ซูเพ่ยเพ่ยลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างเต็มที่แล้วจึงจำได้ว่ายามนี้ตนเองไม่ได้อยู่บ้านของตนเองและคนที่เรียกนางก็ไม่ใช่ผู้จัดการส่วนตัวที่คอยดูแลนางอย่างที่นางคิด ด้วยความตกใจเธอจึงขยับตัวลุกขึ้นแต่เมื่อเห็นว่าตนเองยังคงเปลือยเปล่าอยู่จึงได้รีบนั่งลงไปในถังอย่างรวดเร็ว เสียงน้ำกระฉอกที่ดังขึ้นทำให้เขาชะโงกหน้าเข้ามาดูนางแล้วก็ดุนางเสียงเบา
“รู้จักระวังเสียบ้างสิ หากลื่นล้มขึ้นมาคราวนี้คงจะไม่ใช่แค่ศีรษะบวมปูดเป็นแน่” เมื่อพูดจบก็รู้ว่าไม่เหมาะสมที่ตนเองจะอยู่ในห้องนี้ต่อเขาจึงขยับไปอยู่ด้านหลังฉากอีกครั้งแล้วเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ข้าจะไปรอเจ้าด้านนอก หากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าก็ไปเรียกข้าก็แล้วกัน” เมื่อเอ่ยจบเขาก็รีบเดินออกไปในทันที ทิ้งให้ซูเพ่ยเพ่ยนั่งสับสนและมึนงงอยู่ในถังน้ำเพียงผู้เดียว
‘เมื่อครู่นี้เขาเห็นหรือเปล่า คงไม่มั้งไม่อย่างนั้นคงจะไม่มีหน้ามาดุเราเช่นนี้หรอก’ ซูเพ่ยเพ่ยคิดอยู่ในใจพลางขยับตัวลุกขึ้น ดึงผ้าผืนหนึ่งมาเช็ดตัวและพันรอบตนเองเอาไว้
เสื้อผ้าที่หยวนซื่อจัดเตรียมเอาไว้ให้ถูกวางเอาไว้อยู่อีกด้านของถังน้ำนางจึงเดินอ้อมถังน้ำไปแล้วจัดการแต่งตัวให้แก่ตนเองอย่างทุลักทุเล แม้ว่านางจะต้องสวมใส่ชุดโบราณเพื่อเข้าฉากอยู่หลายครั้ง แต่การที่ไม่มีคนมาคอยช่วยแต่งตัวทำให้นางต้องใช้เวลาพอสมควร
พอสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้วนางก็เดินมาที่หน้ากระจก รวบผมที่ทั้งยาวและดกดำของตนเองขึ้นมาครึ่งศีรษะแล้วก็ขมวดเป็นมวยผมอย่างง่ายโดยใช้ปิ่นไม้ที่วางอยู่ช่วยตรึงมวยผมของนางไว้ ส่วนผมที่เหลือนางก็ใช้หวีไม้สางจนเรียบและเป็นระเบียบถึงแม้ว่าผมของนางจะไม่ยาวมากและมีเครื่องประดับมากชิ้นแบบซ่งจือเหยาแต่เมื่อมองแล้วก็ไม่ได้แตกต่างจากคนที่นี่เท่าใดนัก
“ข้าแต่งกายเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” ซูเพ่ยเพ่ยเอ่ยพลางจ้องมองหลี่เหวินหลางที่ยามนี้กำลังเอามือไพล่หลังและยื่นหันหลังให้นางอยู่ เมื่อเขาหันกลับมายังทิศที่นางยืนอยู่สายตาอันเจิดจ้าของเขาก็จ้องมองมาที่นางอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“ข้างดงามมากใช่ไหมเล่า ท่านจึงได้จ้องมองข้าได้เนิ่นนานได้จนถึงขั้นนี้” ซูเพ่ยเพ่ยเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า
“ก็งามอยู่หรอก เพียงแต่ทรงผมของเจ้าออกจะดูแปลกประหลาดไปสักหน่อย ถ้าอย่างไรวันพรุ่งนี้ข้าจะให้ท่านแม่มาช่วยทำผมให้เจ้าก็แล้วกัน” คำพูดของเขาทำให้ซูเพ่ยเพ่ยรู้สึกทั้งอับอายทั้งขัดเขิน ประโยคต่อมาที่นางเอ่ยกับเขาจึงมีน้ำเสียงที่เจือความไม่พอใจปะปนมาด้วยอยู่ไม่น้อย
“ใช่สิผู้ใดจะงดงามเท่าคุณหนูซ่งผู้นั้นได้กันเล่า”
“คุณหนูซ่งมาเกี่ยวข้องอันใดกับเรื่องนี้ด้วย ข้าก็แค่คิดว่าเจ้าควรจะแต่งตัวให้กลมกลืนกับคนที่นี่ให้มากหน่อย หากเจ้ายังหาทางกลับบ้านไม่ได้อย่างน้อยก็ควรจะหาหนทางที่ทำให้ตนเองสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างราบรื่น” คำพูดของเขาเต็มไปด้วยเหตุและผลแต่ซูเพ่ยเพ่ยกลับไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดนางจึงไม่ค่อยจะพอใจต่อคำตอบของเขานัก
“เจ้าจะให้ข้าตรวจเจ้าหรือไม่ ถ้าจะให้ตรวจก็ตามข้ามาเถิด” เขาเอ่ยพลางเปิดประตูเข้าไปในห้องของนาง
เมื่อซูเพ่ยเพ่ยติดตามเขาเข้าไปเขาก็ชี้ให้นางนั่งบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าต่างซึ่งนางก็ยินยอมไปนั่งตรงนั้นด้วยสีหน้าที่ดีขึ้น คนเขาอุตส่าห์ช่วยรักษาและจัดยาให้ แถมยังนี้ยังให้ที่อยู่ที่กินอีกแม้ว่าในใจจะรู้สึกหงุดหงิดแต่นางก็ไม่คิดที่จะเป็นคนเนรคุณได้หรอก
“อืม… รอยบวมปูดและร่องรอยอักเสบเริ่มดีขึ้นมากแล้ว ช่วงนี้ขอแค่ดื่มยาตามเวลาอีกเพียงไม่กี่วันอาการของเจ้าก็คงจะดีขึ้น” เขาเอ่ยกับนางแล้วจึงได้ขยับตัวเพื่อลุกขึ้น
“เจ้าพักผ่อนเถิด วันนี้เหนื่อยมามากแล้วอีกสักครู่ข้าจะให้อาเยว่นำยามาให้ รีบดื่มแล้วก็รีบนอนพักผ่อนเสีย” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้นางก็ลุกขึ้นแล้วย่อกายคารวะขอบคุณเขาแล้วเอ่ยอย่างเป็นงานเป็นการ
“ขอบคุณท่านมากนะเจ้าคะ ที่ช่วยรักษาข้าแถมยามนี้ยังให้ที่อยู่ที่กินแก่ข้าอีก” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้เขาก็ส่งยิ้มให้นาง
“ไม่ต้องคิดมาก ข้าไม่ได้ช่วยเหลือเจ้าฟรีๆ เสียหน่อย เมื่อหายดีแล้วก็อย่าลืมช่วยงานท่านแม่ข้าเพื่อชดเชยค่ารักษาก็แล้วกัน” เมื่อเขาเอ่ยจบก็เดินออกไปทิ้งซูเพ่ยเพ่ยยืนจ้องมองทางด้านหลังของเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
‘ปากแข็งแต่ใจอ่อน คนคนนี้เป็นคนที่ไม่เลวเลย’ นี่คือความคิดของซูเพ่ยเพ่ยที่มีต่อเขาในตอนนี้
