บทที่ 2 คลายความกังวล
เสียงกองไฟดังปะทุขึ้นอีกครั้งนางจึงได้พยายามตั้งสติของตนเองอีกครั้งแล้วใช้สายตาสำรวจเครื่องแต่งกายของคนตรงหน้าอย่างละเอียด เสื้อผ้าเช่นนี้ทรงผมเช่นนี้อีกทั้งบรรยากาศรอบกายต่างชี้ชัดแล้วว่านางไม่ได้อยู่ในสถานที่ที่นางควรจะอยู่ นางก้มลงมองตนเองแล้วก็ทอดถอนใจออกมา ยามนี้นางสวมใส่แค่เพียงเดรสกระโปรงเพียงตัวเดียวเท่านั้น เสื้อกันหนาวตัวใหญ่ของนางหายแล้วมีเพียงเสื้อคลุมที่น่าจะเป็นของคนตรงหน้าเพียงเท่านั้นที่ช่วยป้องกันความหนาวเย็นให้นาง ซึ่งมันช่างไม่อบอุ่นเอาเสียเลย
‘จำได้ว่าตอนที่ยืนอยู่หน้าโรงถ่ายเราใส่เสื้อกันหนาวตัวใหญ่อยู่แท้ๆ ตอนนี้ตัวเรามาอยู่ที่นี่แต่ทำไมมันไม่มากับด้วยนะ หนาวจังเลย’ แม้ว่าซูเพ่ยเพ่ยจะคิดอยู่ในใจแต่อาการสั่นสะท้านของนางกลับทำให้หลี่เหวินหลางคาดเดาได้ เขาค่อยๆ ประคองนางลงนอนอย่างเบามีแล้วจึงได้ลุกขึ้นแล้วเดินไปเติมฟืนเพื่อเร่งความแรงของกองไฟ
“เจ้าคงจะไม่ใช่คนที่นี่กระมัง” เขาเอ่ยพลางจ้องมองใบหน้าอันนวลเนียนของนาง เมื่อดูจากผิวพรรณที่โผล่พ้นชายเสื้อคลุมของเขาก็สามารถเดาได้แล้วว่านางไม่น่าจะใช่ชาวบ้านแถบนี้ยังไม่นับเครื่องแต่งกายของนางนั่นอีก
“ไม่ใช่คนที่นี่จริงๆ นั่นแหละ แต่อย่าได้ถามถึงสถานที่ที่ฉันจากมาเลย ตอนนี้ฉันเองก็ทั้งสับสนและรู้สึกงุนงงอยู่เช่นกัน” ซูเพ่ยเพ่ยเอ่ยพลางชี้ไปที่ศีรษะ เขาจึงไม่ได้เอ่ยอันใดอีกนอกจากหันไปดูตะกร้าไม้ไผ่ที่เขาแบกขึ้นหลังของตนเองมาเพื่อใช้เก็บสมุนไพร ยามนี้นอกจากจะมีสมุนไพรมากมายแล้วยังมีน้ำสะอาดที่ใช้ดื่มได้ เนื้อตากแห้งและขนมเปี๊ยะอีกนิดหน่อย
“เจ้าหิวหรือไม่ ข้ามีขนมเปี๊ยะและเนื้อตากแห้งอีกเล็กน้อย” เมื่อเขาถามเช่นนี้นางก็รีบส่ายหน้าในทันที ด้วยอาชีพของนางจึงมักจะต้องควบคุมอาหาร กินอะไรนิดเดียวนางก็อิ่มแล้ว ก่อนหน้าจะประสบอุบัติเหตุนางพึ่งจะกินอาหารมื้อใหญ่ที่กองถ่ายไปยามนี้จึงไม่ได้รู้สึกหิวเลยสักนิด เมื่อเห็นนางปฏิเสธเขาก็ไม่ได้คะยั้นคะยอใดๆ ดึงเนื้อตากแห้งออกมาค่อยๆ กัดกินโดยไม่สนใจนาง ถึงแม้ว่ายามนี้ตนเองกำลังถูกนางจับจ้องด้วยสายตาประเมินก็ตามที
ส่วนทางด้านซูเพ่ยเพ่ยที่เห็นคนเขานั่งกัดกินชิ้นเนื้อเงียบๆ ด้วยท่าทางที่ดูสุภาพและไร้ความขัดเขินนางก็ได้แต่ทอดถอนใจออกมา พลางคิดในใจว่าคน
‘คน คนนี้ทั้งรูปร่างหน้าตาคำพูดคำจาและการเดินเหินช่างดูดีไปทุกระเบียบนิ้ว แม้แต่เวลากินก็ยังดูดีโดยไม่ต้องเสแสร้ง ท่าทางที่เขาวางตัวตามสบายและเป็นธรรมชาติเช่นนั้นแต่กลับยังดูดีมากเช่นนี้ มันช่างน่าอิจฉาจริงๆ’ ซูเพ่ยเพ่ยคิดพลางทอดถอนใจออกมา
แม้ว่าจะแอบชื่นชมคนตรงหน้าอยู่ในใจแต่ความกังวลก็ยังไม่หมดสิ้นไปจากห้วงความคิด ด้วยยามนี้นางกำลังอยู่ในสถานที่ที่ต่างออกไปจากที่ที่ตนเองเคยอยู่ นางไม่รู้ว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรจึงไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรจึงจะได้กลับไป หากนางต้องอยู่ที่นี่นางก็ไม่แน่ใจว่าตนเองจะสามารถเอาตัวรอดได้
นางมีอาชีพเป็นนักแสดงมาตั้งแต่เด็ก เริ่มต้นจากตัวประกอบเด็กตั้งแต่เล็ก ต่อมาก็ได้รับบทบาทที่มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ด้วยหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูของนางทำให้นางมีฐานแฟนคลับของตนเองตั้งแต่เด็ก จวบจนเริ่มเข้าสู่ช่วงมัธยมปลายนางก็ได้รับบทบาทเป็นนักแสดงนำของเรื่องแล้ว ยามนี้นางกำลังศึกษาอยู่ในวิทยาลัยการแสดงแห่งหนึ่งปีหน้าก็จะขึ้นปีสองแล้ว เป็นเพราะนางเรียนไม่เก่ง ความสามารถอื่นล้วนไม่มี สิ่งเดียวที่สามารถใช้การได้ก็คือการแสดง นางจึงตั้งใจจะใช้การแสดงหาเงินให้แก่ตนเองให้ได้มากที่สุด เพียงแต่ในตอนนี้สถานที่ที่นางอยู่นางชักจะไม่มั่นใจเสียแล้วว่าความสามารถของตนเองจะใช้การได้
เสียงทอดถอนใจและสีหน้ากังวลของนางไม่ได้รอดพ้นไปจากสายตาของหลี่เหวินหลางสักนิด เข้ากินเนื้อหมดแล้วจึงเก็บเนื้อที่เหลือเอาไว้แล้วจึงได้ดื่มน้ำเพื่อดับกระหาย เมื่อรู้สึกสบายท้องแล้วเขาจึงได้หันไปให้ความสนใจในตัวนางอีกครั้ง
“เจ้าไม่ใช่คนที่นี่ และไม่รู้ว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรใช่หรือไม่ ยามนี้เจ้าคงกำลังกังวลว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรต่อไปสินะ” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้นางก็รีบพยักหน้าในทันที
“ใช่แล้ว ข้ากำลังคิดเช่นนั้นอยู่จริงๆ ในเมื่อไม่รู้ว่ามาที่นี่ได้อย่างไรคิดอยากจะกลับไปก็คงจะยาก แต่หากต้องอยู่ที่นี่ข้าเองก็ไม่รู้สักนิดว่าจะใช้ชีวิตที่นี่ได้อย่างไร เงินติดตัวก็ไม่มี เสื้อผ้าอาหาร ที่หลับที่นอนล้วนน่ากังวลใจเป็นอย่างยิ่ง” ความสามารถในการปรับตัวของนางนั้นไม่แย่ ตอนนี้นางสามารถจับสำเนียงและการพูดจาของเขาได้แล้วนางจึงได้ปรับวิธีการพูดของตนเอง ซึ่งนี่นับว่าไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับนักแสดงอย่างนางเลย ส่วนหลี่เหวินหลางเมื่อได้ฟังคำพูดของนางแล้วเขาก็พยักหน้าในทันที
“ใช่แล้ว ค่ายาและข้ารักษาของข้าเจ้าก็คงจะไม่มีให้ข้าเช่นกันสินะ” คำพูดของเขาทำให้นางนิ่งขึงไปในทันที
“นี่เจ้าคงจะไม่คิดว่าข้าช่วยเหลือเจ้าฟรีๆ หรอกนะ เจ้าคงจะไม่รู้ว่าข้าคนนี้เป็นหมอที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากพอสมควร เพราะฉะนั้นค่าตรวจรักษาและค่ายาของข้าก็ย่อมไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน” คำพูดของเขาทำให้ซูเพ่ยเพ่ยอยากจะลบความรู้สึกชื่นชอบและชื่นชมที่เคยมอบให้เขาไปก่อนหน้านี้ทิ้งไปให้หมด ยามนี้ในใจของนางมีเพียงความคิดเดียวก็คือ
“คนหน้าเลือด!” คิดไม่ถึงว่านางจะเผลอพูดคำพูดที่คิดอยู่ในใจออกมา แม้ว่ายามนี้กองไฟจะยังคงคุโชนอยู่แต่นางกลับรู้สึกว่าบรรยากาศรอบกายกลับมีมวลอากาศเย็นปกคลุมไปจนทั่วจนนางรู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บที่เพิ่มขึ้นอย่างเฉียบพลัน
“ข้าขอโทษด้วย ไม่ได้ตั้งใจจะต่อว่าท่านเพียงแต่ว่าคนจนตรอกเช่นข้าในตอนนี้จะหาค่ารักษามาให้ท่านได้อย่างไร อย่าว่าแต่ค่ารักษาเลยยามนี้แม้แต่เรื่องอาหารการกิน และที่อยู่อาศัยก็ลำบากแล้ว” ซูเพ่ยเพ่ยเอ่ยพลางหลั่งน้ำตาออกมา แล้วใช้สายตาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาจ้องมองเขา
“เจ้าไม่ต้องบีบน้ำตาออกมาหรอก ข้าขอคิดดูก่อนว่าข้าจะเรียกเก็บค่ารักษาจากเจ้าได้อย่างไร ส่วนเรื่องที่อยู่และอาหารการกินเจ้าไม่ต้องห่วงในเมื่อช่วยแล้วข้าก็จะช่วยให้ถึงที่สุด… เจ้าค่อยชดใช้คืนข้าทีเดียวพร้อมกับค่ารักษาก็แล้วกัน” คำพูดของเขาทำให้ซูเพ่ยเพ่ยเรียกคืนน้ำตาของตนเองกลับมาในทันที
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ดีเลย ข้าขอยืมเงินของท่านเลยด้วยก็แล้วกัน ตั้งตัวได้เมื่อไหร่ข้าจะรีบคืนให้ท่านอย่างแน่นอน” เมื่อเอ่ยจบนางก็ค่อยๆ พลิกตัวหันหลังให้เขาแล้วหลับตาลงพ่ายแพ้ให้แก่ฤทธิ์ยาที่ดื่มไปเมื่อครู่นี้ในทันที ทิ้งให้หลี่เหวินหลางนั่งตื่นตะลึงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปได้อย่างรวดเร็วของนาง
‘แค่เพียงคลายความกังวลของตนเองได้แล้วนางก็ไม่คิดจะเสแสร้งต่ออีกสักนิดเลยหรือ เหตุใดนางจึงได้มีสีหน้ามั่นใจเช่นนี้กันเล่าว่าเขาจะช่วยเหลือนางเพิ่มด้วยการให้ยืมเงิน…’
