บทที่ 4 เปิดระบบ
ฉินเสี่ยวโหรวได้ยินสิ่งที่ระบบบอกก็กำหมัดแน่น “ท่านประธาน! ผู้ชายวิปริตคนนั้นน่ะเหรอ มิน่า! ถึงได้กำหนดเรื่องบ้าๆ แบบนี้ขึ้นมา”
โปรแกรมเมอร์สาวถึงตอนที่ประชุมออนไลน์ ประธานกู้ไม่เคยเปิดเผยใบหน้าเลยสักครั้ง เขาใช้ภาพเอไอผู้ชายหน้าตาเคร่งขรึมในชุดสูทสีดำแทนรูปตนเอง หล่อนได้ยินเพียงเสียงของเขา ท่านประธานคนนี้เป็นคนบ้างาน ได้ยินว่าเขามักจะคอยแอบดูการทำงานของพนักงานในบริษัทผ่านกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่แทบจะทั่วบริษัท
“อย่าวิจารณ์ท่านประธาน ไม่อย่างนั้นคุณจะถูกหักคะแนนในระบบออกครึ่งหนึ่ง จะใช้ชีวิตในยุคนี้ได้อย่างยากลำบากนะคะ” ระบบเตือนขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ฉินเสี่ยวโหยวสะดุ้งโหยว “ได้ๆ ไม่บ่นแล้ว ตกลงว่าฉันเป็นโปรแกรมเมอร์ ไม่ใช่ผู้ใช้ทั่วไป เหรียญในระบบคงไม่ได้ให้เริ่มต้นที่ศูนย์หรอกนะ”
ในระบบล้านตำลึงที่ฉินเสี่ยวโหรวดูแลอยู่ เมื่อผู้ทะลุมิติติดต่อกับระบบก็จะยังไม่ได้รับเหรียญทอง จนกว่าจะเริ่มทำภารกิจแรก
“ในฐานะคุณฉินเป็นโปรแกรมเมอร์ ท่านประธานเมตตามอบให้ท่านก้อนหนึ่ง คุณจะได้รับห้าสิบเหรียญทอง”
“หือ! แค่ห้าสิบเหรียญทอง แลกได้แค่ข้าวสารถุงเดียวไม่ใช่เหรอ” ฉินเสี่ยวโหรวจำขั้นตอนการแลกเหรียญในระบบที่ตนเองดูแลได้ดี
“คุณฉิน บอกแล้วว่าห้ามวิจารณ์ท่านประธาน ไม่เช่นนั้นจะปรับให้เหลือศูนย์เหรียญทอง”
หญิงสาวหน้าเสีย ในใจนึกก่นด่าประธานบริษัทของตน “ได้ๆ ห้าสิบก็ห้าสิบ ฉันจะเก็บเอาไว้ก่อน ตอนนี้ต้องไปจัดการเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้าให้เรียบร้อยก่อน”
ฉินเสี่ยวโหรวลืมตาขึ้น มองคนที่ยืนมุงตนเอง
“นางฟื้นแล้ว!” ป้าฟางร้องขึ้นด้วยความดีใจ
“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะช่วยพวกเราเอาไว้ ถ้าวันนี้ข้าไม่ได้น้ำกลับบ้าน เห็นทีทุกคนคงหน้ามืดตาลายแน่” หญิงสาวอีกคนเอ่ยด้วยสีหน้าซาบซึ้ง
“มาๆ เสี่ยวโหรว อันธพาลพวกนั้นพ้นทางเราแล้ว มาหิ้วน้ำกลับบ้านกันเถอะ” ป้าฟางที่ประคองฉินเสี่ยวโหรวให้ยืนขึ้นรีบชี้ไปที่บ่อน้ำ
โปรแกรมเมอร์สาวในร่างสะใภ้โง่พยักหน้ารับ “พวกท่านรีบตักน้ำเถิด”
อี้ฟางเยว่แม่สามีผู้ชิงชังสะใภ้ใหญ่มองเห็นฉินเสี่ยวโหรวหิ้วน้ำสี่ถังกลับมาก็มองด้วยความพอใจ
“เดินเร็วกว่านั้นหน่อย!” ร้องเท้าสะเอวร้องตะโกน
แต่ฉินเสี่ยวโหรวมิได้เดินตรงไปยังตุ่มน้ำข้างเรือนใหญ่กลับเลี้ยวไปยังเรือนเล็กของตนเองแล้วเทน้ำทั้งสี่ถังใส่ตุ่มข้างเรือนของตนจนเต็ม
“นางสะใภ้โง่! นี่เจ้าทำอันใดของเจ้า ต้องเทน้ำใส่ตุ่มบ้านใหญ่ให้เต็มเสียก่อนสิ”
ครั้นเห็นแม่สามีร้องตวาด ฉินเสี่ยวโหรวก็ไม่ใส่ใจ นางเดินเข้าไปในบ้านเพื่อดูสามีกับบุตรชาย
“โหรวเอ๋อร์ เจ้าทำงานเสร็จแล้วหรือ” น้ำเสียงนุ่มนวลของชายหนุ่มที่นั่งอยู่เก้าอี้ดังขึ้น
“แม่เจ้า!” ฉินเสี่ยวโหรวเผลออุทานออกมา ยกมือปิดปาก ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตื่นเต้น
‘สามีของฉินเสี่ยวโหรวสะใภ้โง่สกุลลู่ผู้นี้ หล่อมากยังกับซุปเปอร์สตาร์ แต่ดันพิการ เสียของแล้ว! เสียของจริงๆ’
“เป็นอันใดไปหรือ” ลู่หลิงหยุนเห็นท่าทางตกใจของภรรยาก็นึกห่วง
“ขะ ข้า”
พอส่งเสียงออกมา ฉินเสี่ยวโหรวก็ตกใจที่ตนกลายเป็นคนติดอ่าง นางจึงยกมือขึ้นตบปากตนเองหนึ่งที
เพี๊ยะ!
ลู่หลิงหยุนตกตะลึง “เหตุใดเจ้าจึงตบปากตนเองเล่า”
“อุ๊ยเจ็บ!” นางเอามือลูบแก้มป้อยๆ ก่อนสบตาบุรุษรูปงามที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ “ข้าก็แค่ไม่อยากพูดติดอ่าง ตบตัวเองสักหน่อย ต่อไปก็จะไม่พูดติดๆ ขัดๆ อีกแล้ว”
ชายหนุ่มตะลึงเป็นครั้งแรกที่ฉินเสี่ยวโหรวพูดไม่ติดอ่าง ซ้ำยังพูดยาวกว่าปกติ “เจ้าพูดไม่ติดอ่างแล้ว”
“อืม” ฉินเสี่ยวโหรวพยักหน้ารับ เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองพูดยาวเกินไป ปกติเจ้าของร่างไม่เคยพูดประโยคยาวมาก่อน
“เหตุใดเจ้าถึงกลับเรือนเล่า ยามนี้เจ้าต้องทำงานอยู่เรือนใหญ่มิใช่หรือ”
ฉินเสี่ยวโหรวมัวแต่มองใบหน้าและรูปร่างของสามีจึงไม่ได้สนใจฟังคำพูดของเขา
‘นี่เป็นเพราะอยู่กินอย่างลำบาก คนหล่อๆ แบบนี้ก็เลยผอมแห้งไปหน่อย เขาเคยเป็นทหาร ถ้าหายป่วยร่างกายแข็งแรงก็คงจะ...’
“โหรวเอ๋อร์! โหรวเอ๋อร์!” ลู่หลิงหยุนเรียกเสียงดัง
“ท่านพี่ มีอันใดหรือ”
“เจ้าถูกบ้านใหญ่รังแกมาหรือ” น้ำเสียงของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความขัดเคือง เขานึกโกรธตนเองที่ไม่สามารถปกป้องนางจากแม่เลี้ยงของตนได้
“ท่านแม่!” ลู่เหว่ยเดินกลับมาจากห้องส้วม ครั้นเห็นมารดาอยู่ในเรือนเล็กก็แปลกใจ เด็กชายเอียงคอมอง “ท่านแม่มาอยู่นี่ ระวังท่านย่าโกรธเอานะขอรับ”
ฉินเสี่ยวโหรวพลันนึกถึงงานที่เจ้าของร่างต้องทำอยู่ทุกวันขึ้นมาได้ หลังจากหาบน้ำในตอนเช้า นางก็ต้องทำความสะอาด เก็บกวาด และซักผ้าให้กับคนในเรือนใหญ่ทั้งหมด
เด็กชายลู่เหว่ยหน้าตาน่ารัก แต่กลับผอมแห้ง
“เจ้าคือลู่เหว่ยหรือ”
“ท่านแม่ นี่สมองท่านแย่จนถึงกับจำลูกอย่างข้าไม่ได้แล้วหรือขอรับ” เด็กชายทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ออกมา
มารดาของเขาถูกคนเรียกว่าหญิงโง่ยังไม่พอ บัดนี้ยังจะสมองเลอะเลือนอีก ท่านพ่อก็เป็นคนพิการ เห็นทีชีวิตของเขาคงจะจบสิ้นแล้ว
ฉินเสี่ยวโหรวเห็นเด็กน้อยเริ่มตาแดงก็พลันนึกได้ รีบขยับเข้าไปกอดปลอบเด็กชาย “เจ้าอย่าร้องไห้ เหว่ยเอ๋อร์ แม่แค่ล้อเล่นเฉยๆ”
“นางหญิงโง่! ออกมาข้างนอกเดี๋ยวนี้ งานยังไม่เสร็จเลย กล้าอู้แล้วหรือ” เสียงของอี้ฟางเยว่ดังลั่น
ฉินเสี่ยวโหรวผู้เป็นโปรแกรมเมอร์รู้ว่าเจ้าของร่างมีพละกำลังมากก็ยิ้มกริ่ม ถ้าเกิดว่าแม่ของสามีคิดจะข่มเหงให้นางไปทำงาน นางจะไม่ไปอย่างเด็ดขาด
‘แหม! หาเรื่องแบบนี้ เดี๋ยวต้องจัดเรื่องให้สักหน่อย’
“ท่านแม่มาเรียกเจ้าแล้ว โหรวเอ๋อร์เจ้ามาอุ้มข้าออกไปด้วย” สามีรีบร้องบอก
“ได้!” นางรับคำสั้นๆ แล้วอ้อมไปด้านหลังเก้าอี้ที่สามีนั่งจากนั้นก็ย่อตัวลงแล้วยกขึ้นมาทั้งเก้าอี้
“เจ้ากล้านักนะ ข้าสั่งให้เจ้าเทน้ำที่เรือนใหญ่ให้เต็มตุ่ม เจ้ากลับเอาน้ำที่หิ้วมา มาเทที่เรือนเจ้าจนหมด”
สะใภ้โง่สกุลลู่วางเก้าอี้สามีลงที่ระเบียงแล้วเท้าสะเอวมองแม่สามี
“คนเรือนใหญ่อยากได้น้ำก็พากันไปหิ้วเอาเองสิ ตอนนี้เรือนข้าไม่เหลือน้ำแล้วก็ต้องเทใส่เรือนข้าก่อน”
อี้ฟางเยว่ได้ยินสิ่งที่ฉินเสี่ยวโหรวพูดก็ถึงกับตาโต ยกนิ้วชี้หน้าลูกสะใภ้ด้วยความโมโห “นางหญิงโง่! เจ้ากล้าเถียงกล้ารึ! เช่นนั้น เที่ยงนี้ คนบ้านเจ้าก็อดข้าวเสียเถอะ ข้าจะไม่แบ่งอาหารให้”
ลู่หลิงหยุนได้ยินก็เดือดดาล “ท่านแม่! ท่านจะทำเกินไปแล้วนะ เงินเบี้ยหวัดชดเชยของข้าก็อยู่ที่เรือนใหญ่ เหตุใดจึงจะไม่มอบอาหารให้เรือนข้าเล่า”
“เงินนั่น เป็นพ่อของเจ้ามอบให้ข้าเพื่อใช้ดูแลบ้าน พวกเจ้ามาอาศัยเราอยู่ ก็สมควรแล้ว วันนี้ภรรยาของเจ้าไม่ยอมทำงานให้เรือนใหญ่ ไม่ให้พวกเจ้ากินเพื่อเป็นการลงโทษก็สมควรแล้ว” อี้ฟางเยว่เท้าสะเอวร้องตอบ
***************
