ตอนที่5 : ทำใจเผื่อไว้
[โรงพยาบาล]
แอนนาเดินเข้าโรงพยาบาลด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อน ข่าวร้ายวันนี้ที่ได้ยินเธอแทบจะไม่อยากเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ
"มาแล้วเหรอคะ" เสียงของน้องสาวทำให้แอนนาแสร้งยิ้มหน้าบาน
"วันนี้พี่ซื้อของโปรดเอมมาด้วย" แอนนาชูถุงขนมมากมายที่เป็นของโปรดที่น้องสาวกินได้
"ขอบคุณนะคะ แต่ตอนนี้เอมกินอะไรไม่ลงหรอกค่ะ" เอมี่ที่เพิ่งได้รับการรักษาจากแพทย์ด้วยการให้ยาเคมีบำบัดทำให้ไม่อยากอาหาร
"ไม่เป็นไร เอาไว้ค่อยกินนะตอนนี้พักผ่อนก่อนพี่จะอยู่ตรงนี้" แอนนาเห็นสภาพของน้องสาวที่อิดโรย เส้นผมที่เคยมีกลับร่วงจนต้องโกนออก ความสดใสบนใบหน้าเหลือเพียงความซีดเซียว
"รอพี่ก่อนนะ" แอนนากุมมือน้องสาวที่เพิ่งหลับไปขึ้นมาแนบแก้มตัวเอง น้องของเธออาการไม่ได้ดีขึ้นแพทย์จึงแนะนำให้อยู่โรงพยาบาลเพื่อใช้ยาเคมีบำบัดตามที่แพทย์ระบุไว้ ซึ่งถ้าหากทำจนครบแต่อาการยังทรุดลงเรื่อยๆ หมอจึงอยากให้เธอทำใจแต่เธอยังไม่ถอดใจที่จะหาเงินช่วยรักษาน้องให้หาย
เธอลองทำทุกวิถีทางทั้งขอผ่อนผันกับทางโรงพยาบาลหรือแม้แต่กู้ยืมสถาบันการเงินต่างๆ แต่สุดท้ายก็ต้องสิ้นหวัง แอนนามองน้องสาวที่หลับได้แต่ยิ้มบางๆ เธอไม่ได้บอกน้องว่าตกงานเพราะไม่อยากให้น้องต้องรู้สึกผิดและคิดว่าตนเองเป็นต้นเหตุของทั้งหมด
"คุณแอนนาคะ หมอขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมคะ" คุณหมอวัยกลางคนซึ่งเป็นผู้ดูแลเคสของน้องสาวเธอ
"มีอะไรหรือเปล่าคะ" แอนนาที่กำลังนั่งหางานใหม่รีบเงยหน้าตอบรับทันควัน
"อาการของน้องเอมี่ไม่ดีขึ้นเลยค่ะทั้งที่ใช้เคมีบำบัดจนจะครบแล้ว" แอนนาเริ่มหน้าเสียเมื่อได้ยินสิ่งที่คุณหมอพูด
"..." หญิงสาวได้แต่นิ่งเงียบ
"หมออยากให้ใช้วิธีปลูกถ่ายไขกระดูกค่ะ ถึงจะมีความเสี่ยงสูงแต่โอกาสหายก็มีมากกว่าใช้ยาเคมีบำบัดต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้"
"แต่ว่า.."
"หมอทราบค่ะว่าการรักษาทางนี้ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่หมออยากให้คุณลองพิจารณาดูนะคะ" คุณหมอเอ่ยออกมาทำให้เธอเริ่มชั่งใจ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดของเธอคือน้องสาว
"แล้วถ้าไขกระดูกของฉันกับน้องเข้ากันไม่ได้ล่ะคะหมอ พวกเราไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีกแล้วค่ะ" แอนนาทำหน้าเศร้า การรักษาที่หมอแนะนำความเสี่ยงค่อนข้างสูงและต้องเป็นคนในครอบครัวเท่านั้นที่สามารถปลูกถ่ายไขกระดูกให้เอมี่ แต่พวกเธอมีกันอยู่แค่สองคนพี่น้อง
"เรื่องนี้ทางหมอได้ลองคุยกันแล้วค่ะว่าเราจะลองใช้ไขกระดูกของผู้ป่วยเอง แต่ทางเราจะลองพิจารณากันอีกทีค่ะ" คุณหมออธิบายให้เธอเข้าใจแต่ไม่ได้ละเอียดมากนักเพราะเป็นเรื่องของทางการแพทย์ แอนนาพอได้รับรู้ว่ายังไม่หมดหนทางก็เริ่มมีความหวัง
"แต่ถ้าร่างกายของน้องไม่รับการรักษานี้หมออยากให้คุณทำใจเผื่อไว้บ้างนะคะ เพราะทางเราได้ลองทุกวิถีทางแล้วจริงๆ ค่ะ" เธอเพิ่งจะยิ้มได้ไม่ถึงสองวิกลับต้องหุบยิ้มทันควันเมื่อได้ยินสิ่งที่หมอพูดต่อ
"ขอบคุณนะคะคุณหมอ" แอนนาแสร้งยิ้มบางๆ ให้คนตรงหน้าทั้งที่ใจของเธอตอนนี้แหลกจนไม่เหลือชิ้นดี ทำไมวันเดียวกันเธอต้องได้ฟังข่าวร้ายถึงสองเรื่อง
"เฮ้อ!" แอนนาถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างหมดแรง ฟ้าแกล้งเธอหรือเปล่าทำไมชีวิตเธอถึงไม่เคยได้เจอคำว่าความสุขเลย
"เธอต้องหายนะเอมี่ พวกเราจะได้กลับไปอยู่ที่บ้านของพ่อแม่กันไง" มือเล็กยกขึ้นลูบกรอบหน้าไร้สีสันของน้องสาวด้วยความอ่อนโยน
ห้องนอนกว้างสีดำทมิฬซึ่งมีเจ้าของห้องนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงกว้าง ใบหน้าหล่อคมผุดขึ้นเหงื่อทั้งใบหน้า สีหน้าของเขาราวกับคนที่กำลังทุกข์ทรมาน
"ลิเดีย!" ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ เขาฝันถึงเหตุการณ์ที่พรากคนรักของเขาไปอีกแล้ว ภาพกระสุนปืนที่ออกจากกระบอกปืนทะลุเข้าที่กลางหลังของคนรัก
"เมื่อไหร่จะลืมเรื่องนี้ได้สักที" ตลอดห้าปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยได้นอนหลับเต็มอิ่ม ทุกครั้งที่หลับตาเขามักฝันถึงแต่เรื่องวันนั้นจนทำให้เขาต้องพึ่งยานอนหลับอยู่บ่อยๆ
ยาเม็ดสีขาวถูกกลืนลงคอเป็นเม็ดที่สองของค่ำคืนนี้ วาดิมกลายเป็นคนที่ต้องกินยานอนหลับทุกคืนในบางคืนเขาจำเป็นต้องกินติดต่อกันถึงสองเม็ดถึงจะข่มตาหลับได้
"ฉันจะลืมเธอได้ยังไงลิเดีย" วาดิมเงยหน้ามองรูปถ่ายขนาดใหญ่ของคนรักที่ถูกติดไว้บนผนังห้องเพื่อให้เขาได้มองเห็นก่อนนอน
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเดินหน้านิ่งออกจากห้องนอนทำให้ลูกน้องที่อยู่บริเวณนั้นรู้สึกเย็นวาบราวกับอยู่ในภูเขาน้ำแข็ง
"ตื่นแล้วเหรอครับ" ลูอิสเดินหน้าเป็นเข้ามาทักทายผู้เป็นนายแต่เช้า
"ไม่ได้นอนต่างหาก" วาดิมตอบกลับไปตามความเป็นจริง เขายังไม่ได้หลับเลยเพราะแค่หลับตาความฝันนั้นก็กลับมาอีก
"นอนไม่หลับเหรอครับบอส"
"อืม"
"ต้องเปลี่ยนยาหรือเปล่าครับบอส" ลูอิสนึกเป็นห่วงตลอดห้าปีวาดิมต้องกินยานอนหลับทุกคืนอาจจะทำให้เขากลายเป็นคนดื้อยาไปแล้ว
"อยากเปลี่ยนเหมือนกัน" เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมกับมองหน้าลูอิส
"เปลี่ยนยาเหรอครับ" ลูอิสยังคงตื้อถาม
"เปลี่ยนเลขา รำคาญ!" วาดิมก้าวขาไวๆ เพื่อเดินหนีคนสนิทที่ตามจู้จี้ไม่หยุดหย่อน ลูอิสทำได้แค่เกาหัวแกรกๆ เขาอุตส่าห์เป็นห่วง
"โธ่! บอสครับผมเป็นห่วงบอสนะครับ" ลูอิสดูเป็นคนที่ไม่น่าจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับวงการมาเฟียที่สุดแล้ว หากใครเห็นคงคิดว่าเขาเป็นผู้ชายอารมณ์ดีเข้าถึงง่ายแต่หารู้ไหมว่าเขาเจ้าเล่ห์และฉลาดแกมโกงที่สุด
"แล้วเรื่องที่ให้ไปทำล่ะไปถึงไหนแล้ว?"
"ครับ ผมส่งครูศิลปะที่มีชื่อเสียงไปที่โรงเรียนนั้นพร้อมกับเสนอจะจ่ายเงินค่าจ้างให้ทุกเดือนแลกกับการให้คุณแอนนาลาออก" ลูอิสเล่าถึงความฉลาดของตัวเองแต่ก็แอบสงสารแอนนาไม่น้อย
"แล้วทำไมเธอยังไม่ติดต่อมาอีก" วาดิมเลิกคิ้วถามคนสนิทที่ไม่ได้รับการติดต่อจากแอนนาแม้แต่ครั้งเดียว
"ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะลองไปเสนองานให้เธอดีไหมครับแล้วหลังจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของบอสแล้วนะครับ" เลขาหนุ่มแสนฉลาดเอ่ยถึงแผนการที่จะทำให้แอนนาติดกับ
"ไปจัดการซะ!" เอ่ยไล่เลขาคนสนิทไปทำงาน ลูอิสก้มหัวรับคำสั่งก่อนที่จะเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
