บทที่ 4 ริอ่านเป็นโจร
เสียงเกือกม้ากระทบกับพื้นดินที่ถูกทับถมด้วยหินกรวดและทรายมากมายดังกระหึ่มไปทั่วทั้งแนวเชิงเขาที่เชื่อมต่อระหว่างเผ่ามู่ซานและเผ่าหยวนอู๋ ผืนดินเบื้องล่างสั่นสะเทือนไปตามแรงเหยียบย่ำของฝูงอาชา หนึ่งสตรีสองบุรุษควบอาชาวิ่งฉิวไปตามเส้นทางแคบ ๆ ที่เลี้ยวลดคดเคี้ยวลัดเลาะไปตามแนวภูเขาสูงชัน ฝุ่นทรายต่างปลิวฟุ้งขึ้นมาราวกับม่านหมอก พวกเขาและนางกำลังแข่งกันควบอาชาไล่ตามกันมาด้วยความเร็ว และไม่คิดจะผ่อนปรนจังหวะความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย
ท่ามกลางเสียงลมหายใจของม้า และแรงสั่นสะเทือนจากพื้นดิน อาเซ่อหลิงรู้สึกได้ถึงอิสรภาพอันแสนหอมหวาน ยามนี้นางไม่ใช่เชลย และไม่ใช่สตรีบรรณาการ หากแต่คือผู้ควบคุมโชคชะตา
"อาเฉิง! เจ้าเร่งให้ตายก็ไล่ตามนางไม่ทันหรอก!"
เสียงของทู่เหยียนซาตะโกนฝ่าสายลมที่พัดตีกระแทกใบหน้า ด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความหงุดหงิด และขัดใจหลังจากที่อาชาเริ่มทิ้งห่าง
"เงียบปากของเจ้าเสียเถอะ! ถ้าเจ้าไม่มัวแต่พูดมาก ป่านนี้อาจจะแซงนางแล้วก็ได้"
แฝดผู้พี่กัดฟันแน่น ฝ่ามือหนากระตุกบังเหียนแน่นจนเส้นเลือดบนหลังมือปูดโปน เพื่อเร่งฝีเท้าอาชา เขาไม่คุ้นชินกับการอยู่ข้างหลัง
และไม่คุ้นชินกับการพ่ายแพ้ โดยเฉพาะพ่ายแพ้ให้แก่สตรี
เบื้องหน้าสตรีร่างระหงในอาภรณ์ชนเผ่าสีหวานยังคงเป็นฝ่าย ควบอาชานำหน้าไปอย่างไม่คิดลดละ ร่างบางดูเด่นชัดและงดงามท่ามกลางแสงแดดในยามสาย ชายอาภรณ์สะบัดพลิ้วราวกับธงรบในสงคราม สีหน้าเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่ฉายชัดขึ้นในดวงตาคู่งาม
นางมิใช่สตรีที่มีเพียงรูปโฉมอันเลื่องลือ หากแต่คือกลีบดอกไม้ที่ล่องลอยอย่างอิสระราวกับสายลม ที่ยากจะไล่ตาม
ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เสียงของฝีเท้าอาชาก็ชะลอตัวลง
เมื่อเบื้องหน้าปรากฏพระราชวังที่ทำจากหินขาว ที่งดงามตระการตาชวนให้จ้องมองด้วยความชื่นชม เผ่าหยวนอู๋ เปรียบเสมือนจุดศูนย์กลางของการปกครอง บริเวณโดยรอบต่างถูกห้อมล้อมด้วยเขตแดนของชนเผ่าที่ยอมสวามิภักดิ์
อาเซ่อหลิง คลายบังเหียนเพื่อชะลอฝีเท้าอาชา ก่อนจะทอดสายตามองมองภาพเบื้องหน้าด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย พระราชวังแห่งนี้นอกจากจะตั้งอยู่บนเชิงเขาสูงแล้ว ยังถูกสร้างขึ้นจากหินอ่อนสีขาวนวล ที่สะท้อนแสงแดดจนเกิดความระยิบระยับ หลังคาถูกมุงด้วยหินชนวนสีดำ ช่างตัดกับผนังสีขาวได้เป็นอย่างดี
“งดงามเสียยิ่งกว่าเผ่ามู่ซานของข้านัก...” นางพึมพำเบา ๆ ก่อนจะควบอาชาเข้าไปใกล้
ไม่นานนัก เสียงเกือกม้าของสองฝาแฝดก็ดังตามมาติด ๆ พวกเขาควบอาชาเข้ามาหยุดลงข้าง ๆ กับอาชาของอาเซ่อหลิง ท่ามกลางเสียงหอบหายใจที่ดังขึ้นอย่างไม่อาจปิดบัง
“เฮ้อ...ถึงเสียที ผู้ใดจะไปคิดว่าวันหนึ่ง ข้าต้องมาพ่ายแพ้ให้กับสตรี”
ทู่เหยียนซาทิ้งตัวลงจากหลังอาชาด้วยท่าทางหอบโหย ใบหน้าคมคายยามนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นผง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่อาจยอมรับกับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้
“ข้าเองก็ไม่คิด...”
แฝดผู้พี่ลงจากอาชาด้วยสีหน้าเจื่อน ไม่ต่างจากผู้เป็นน้องชายเท่าใดนัก บุรุษอกสามศอกเช่นพวกเขา นับเป็นครั้งแรกที่พ่ายแพ้ต่อสตรี
แม้จะเหนื่อยหอบมากเพียงใด แต่ทว่าสายตาของทั้งคู่ยังคงจับจ้องไปที่ร่างระหงที่ก้าวเท้าลงจากหลังอาชาด้วยความสง่างาม ผมเปียทั้งสองของนางตวัดไปโดนเครื่องประดับบนกายจนเกิดเสียงดังชวนมอง ดวงหน้าเรียวรูปไข่เปล่งประกายราวกับเทพธิดาที่ลงมาจากแดนสวรรค์
“เหตุใดเจ้าถึงได้ควบอาชาเก่งยิ่งนัก”
แฝดผู้พี่จัดแจงเครื่องแต่งกาย ก่อนจะขยับฝ่าเท้าเข้ามายืนเคียงข้างสตรีโฉมงาม พร้อมกับเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“ข้าเพียงแต่ชื่นชอบ ส่วนความเก่งกาจคงเป็นพรสวรรค์กระมัง”
อาเซ่อหลิงเอ่ยตอบออกไปด้วยรอยยิ้มจาง ๆ นางไม่ยียวน ไม่โอ้อวด แต่ก็ไม่ได้อ่อนน้อมสักเท่าใด นางรู้สึกชื่นชอบการเลี้ยงอาชา เล่นกับอาชามาตั้งแต่วัยเยาว์ รู้ตัวอีกทีนางก็รู้วิธีที่จะควบคุมอาชาให้ได้ดั่งใจไปเสียแล้ว
“เหอะ เย่อหยิ่ง...”
แฝดผู้พี่ปรายดวงตามองด้วยความขัดใจ เสียงทุ้มเข้มดังขึ้นในลำคอเพียงเท่านั้น และรอยยิ้มนั้นกลับทำให้พวกเขายิ่งรู้สึกพ่ายแพ้
“โฉมงาม เจ้ารู้หรือไม่ ว่ายามนี้หัวใจของข้ามีเพียงเจ้า ท่าทางที่เจ้าควบอาชายังคงตราตรึงหัวใจของข้า...”
ทู่เหยียนซาไม่รอช้า และรีบก้าวเท้าเข้ามาประกบข้างกายของนางอีกฝั่ง แล้วเอื้อนเอ่ยถ้อยคำหวานเพื่อสร้างความประทับใจให้กับ
อาเซ่อหลิงในทันที ทว่าเสียงใสที่เอ่ยตอบกลับมาทำให้เขาแทบจะหน้าคะมำ
“หัวใจของท่าน ข้ามิได้ต้องการ...” อาเซ่อหลิงได้แต่ยิ้มกว้าง ทว่าวาจาของนางนั้นเชือดเฉือนราวกับใบมีดอันแสนคม
“ฮ่า ได้ยินชัดเจนแล้วหรือไม่ น้องข้า” แฝดผู้พี่เอ่ยขึ้นอย่างตอกย้ำ
“อาเซ่อหลิง สตรีมากมายล้วนแล้วแต่ต้องการข้า สักวันเจ้าจะขาดข้าไม่ได้ คอยดู!”
แฝดผู้น้องตะโกนก้อง หลังจากที่ถูกวาจาหวานตีกระแทกหน้า น้ำเสียงของเขาแม้จะฟังดูเย้าหยอก แต่ลึกลงไปในใจกลับจริงจังและเจ็บปวด นางนับสตรีคนแรกที่เย็นชาต่อหัวใจของเขา
“รอให้ถึงเวลานั้นก่อนนะเพคะ รัชทายาททู่เหยียนซา ว่าแต่พวกท่านจะให้ข้ายืนตากแดดรับแสงอีกนานหรือไม่...ร” นางเอ่ยขึ้นมา พร้อมกับทักท้วง เมื่อรู้สึกได้ว่าผิวกายของนางเริ่มจะแสบร้อน
“ตามข้ามาเถอะ” ทู่เหยียนเฉิงเป็นฝ่ายเดินนำ
เสียงฆ้องใหญ่ดังขึ้นเป็นสัญญาณการเปิดประตูของพระราชวัง ทหารองครักษ์แห่งชนเผ่าหยวนอู๋แต่งกายด้วยเกราะหนังประดับขนนก รีบเปิดทางให้พวกเขาในทันทีที่รู้ว่ารัชทายาททั้งสองเสด็จกลับมาแล้ว
ทู่เหยียนเฉิงมุ่งหน้าตรงไปยังตำหนักว่าราชการประจำเผ่า ยามนี้เขารู้ดีว่าผู้เป็นบิดากำลังปรึกษาหารือราชกิจของอาณาจักรกับผู้อาวุโส เหล่าขุนพล และผู้นำชนเผ่าต่าง ๆ จึงเป็นการเหมาะสมที่พวกเขาจะแนะนำอาเซ่อหลิงให้ทุกคนได้รู้จัก
แม้ว่าในใจของเขาจะมีความหวั่นวิตก แต่เหตุผลเดียวที่เขายังมุ่งตรงไปยังเบื้องหน้า ก็คือความเชื่อมั่นในสายตาของตัวเอง และต้องการที่จะให้ทุกคนในเผ่านั้นเชื่อใจ…ว่าสตรีผู้นี้ จะไม่เป็นภัยต่อเผ่าหยวนอู๋
เขาพยักหน้าให้แก่ทหารองครักษ์หน้าตำหนัก ก่อนจะก้าวเข้าสู่ด้านในพร้อมกับผู้เป็นน้องชาย และสตรีที่งามล่มแผ่นดิน
ประมุขทู่เหยียนผู้เป็นบิดา และพระชายาซู ที่นั่งประทับอยู่บนบัลลังก์หินสูง ก่อนจะลดหลั่นไปตามขั้นของบรรดาผู้อาวุโสและคนอื่น ๆ พวกเขาต่างเงยหน้าสาดส่งสายตาจ้องมอง ในทันทีที่เห็นสองรัชทายาทกับสตรีที่ดูแปลกตาเดินเข้ามายังด้านใน
เสียงซุบซิบในหมู่ผู้อาวุโสก็ดังขึ้นทันที ดวงตาหลายต่อหลายคู่ต่างฉายแววความตกใจ เมื่อเห็นสตรีที่ดูไม่คุ้นตาก้าวเข้ามาพร้อมกับ
รัชทายาทฝาแฝด
อาเซ่อหลิงไม่ได้สะทกสะท้านต่อสายตาหลายสิบคู่ที่จ้องมองด้วยความพินิจพิเคราะห์ นางเพียงแต่กวาดดวงตาสงบนิ่ง ประหนึ่งกำลังอ่านใจของผู้คนในที่นี้ให้ละเอียด
ประมุขทู่เหยียน รีบลุกพรวดขึ้นจากบัลลังก์ ใบหน้าคมเข้มของผู้เป็นบิดาเปี่ยมไปด้วยรัศมีแห่งอำนาจ ยามนี้กำำู่เหยียนซาง็นหญิงสาวประตูเมืองากางานรวมภาษีมูลค่าเพิ่มในงวดงานของท่าอากาศยานนั้นต่อครั้งนั้น กรมท่าอากาศยานจะเรียกปรับเป็นรายครลังถลึงตาใส่โอรสทั้งสองพร้อมกับเสียงกัมปนาทที่ดังขึ้น จนทุกคนภายในตำหนักถึงกับเงียบกริบ
“นี่มันเรื่องอันใดกัน! อาเฉิง อาซา มารดาของเจ้าให้เดินทางไปยังเผ่ามู่ซานเพื่อทำความรู้จักกับอาเซ่อหลิงมิใช่หรือ แต่เหตุใดถึงได้พาสตรีแปลกหน้ากลับมาเช่นนี้” เสียงทุ้มต่ำนั้นดังก้อง ชี้หน้าผู้เป็นโอรสด้วยความไม่เข้าใจ
“อาเฉิง อาซา รีบอธิบายกับเสด็จพ่อของเจ้าประเดี๋ยวนี้”
ซูอวี้หยาง สตรีผู้งดงามและทรงอำนาจ ผู้เป็นชายาเคียงข้างกายของประมุขทู่เหยียน ได้แต่เบิกตากว้างด้วยความตกใจและคาดไม่ถึง
สีหน้าทั้งตกใจ ทั้งตื่นตระหนก ฝ่ามือเรียวของนางเผลอกำแน่นอยู่บนพนักของที่วางแขน ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ในขณะที่ดวงตาสั่นไหวราวกับคลื่นน้ำ
ทู่เหยียนเฉิงรีบก้าวเท้าขึ้นมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ของผู้เป็นบิดาและมารดา พลางยกฝ่ามือพร้อมกับค้อมกายลงคำนับ ก่อนจะรีบเอ่ยอธิบายให้ทุกคนได้เข้าใจ
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ อย่าทรงกริ้วไปพ่ะย่ะค่ะ สตรีผู้นี้มิใช่ใครอื่น แต่เป็นธิดาเทพแห่งเผ่ามู่ซาน อาเซ่อหลิงที่เสด็จแม่ สั่งให้พวกข้าเดินทางไปทำความรู้จัก...”
“อาเซ่อหลิง คารวะประมุขทู่เหยียนและพระชายาเพคะ”
อาเซ่อหลิงยอบกายลงด้วยท่าทางที่อ่อนโยน ทว่าใบหน้างดงามของนางกลับฉายรอยยิ้มเย็น ราวกับเฝ้ามองดูความวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้น
“ตามสบายเถิด” ประมุขทู่เหยียนลดน้ำเสียงลง ก่อนจะสาดส่งสายตาดุดันไปยังโอรสให้เอ่ยขยายความ
ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยอธิบายต่อ ผู้เป็นมารดาก็เอ่ยขัดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความฉงน
“จริงอยู่ที่ข้าให้พวกเจ้าไปทำความรู้จักนาง แต่เหตุใดนางถึงได้กลับมาพร้อมกับพวกเจ้าได้ อาเฉิง อาซา ข้างงไปหมดแล้ว” ซูอวี้หยางรู้สึกปวดที่ขมับขึ้นมาไม่น้อย
“เรื่องมันซับซ้อนกว่านั้นนิดหน่อยพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่ นางกำลังจะถูกส่งเป็นสตรีบรรณาการให้แก่เฉินจิ่นหาน รัชทายาทแคว้นหนานหลิง พวกข้าจึง...จึง...”
ทู่เหยียนเฉิงถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ ดวงตาคมคายส่งประสานกับผู้เป็นบิดาอย่างไม่หลบเลี่ยง เขาเว้นจังหวะเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไรดี ทว่าแฝดผู้น้องตัวดีกลับโพล่งความจริงออกไปอย่างไม่ได้ตระหนักคิดเลยสักนิด
“จึงปลอมตัวเป็นโจรบุกไปชิงตัวของนางมาพ่ะย่ะค่ะ”
ทู่เหยียนซาช่วยต่อประโยคของฝาแฝดผู้พี่ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม และไม่ได้ครุ่นคิดเลยสักนิดว่าพวกเขามีสถานะเป็นเช่นไร การกระทำของพวกเขายามนี้ช่างสวนทางกับความสูงศักดิ์ไปอย่างสิ้นเชิง
บรรยากาศภายในตำหนักยามนี้นั้นเงียบกริบ เงียบจนได้ยินเพียงแต่ลมหายใจของทุกคน ยามนี้พวกเขาแทบจะอดกลั้นลมหายใจเมื่อได้รับฟังความจริงที่ออกมาจากปากของรัชทายาทฝาแฝด
ผู้อาวุโสบางคนนั้นมีสีหน้าที่ซีดเผือดราวถูกช่วงชิงลมหายใจ และบางคนได้แต่ขมวดคิ้วแน่นประหนึ่งว่าเห็นเค้ารางแห่งสงคราม
แต่แล้วเสียงคำรามของผู้นำชนเผ่าก็ดังขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราด แม้แต่ชายาเคียงกายยังสะดุ้งตัวโยน อาเซ่อหลิงก็เช่นเดียวกัน นางจึงก้มหน้าลง และปล่อยให้รัชทายาทฝาแฝดเป็นผู้แบกรับความวุ่นวาย
น้ำเสียงของเขาแหลมคมประหนึ่งคมดาบ ท่ามกลางความเงียบของตำหนัก ด้วยเพราะรู้ดีว่า...พวกเขาอาจจุดไฟสงครามขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“พวกเจ้าอยู่อย่างสงบสุขเกินไปหรือ ถึงได้ก่อเรื่องเช่นนี้ เป็นถึงรัชทายาทผู้สูงศักดิ์ แต่ริอ่านเป็นโจรแย่งชิงสตรีกับผู้อื่น...งามหน้ายิ่งนัก!”